คำบรรยายจักรมูลาธาระถึงวอยด์ – “พวกเราต้องรู้บางอย่างมากกว่านี้”

Guildhall Theatre, Derby (England)

1982-07-10 From Mooladhara to Void, Derby, England, DP, 76' Chapters: Arrival, Talk, Q&ADownload subtitles: CS,EN,ES,FI,FR,HU,HY,LT,NL,PL,PT,TR (12)View subtitles:
Download video - mkv format (standard quality): Watch on Youtube: Watch and download video - mp4 format on Vimeo: View on Youku: Transcribe/Translate oTranscribeUpload subtitles

1982-07-10 Q&A after the Talk, Derby, England, 6' Download subtitles: EN,TR (2)View subtitles:
Download video - mkv format (standard quality): Download video - mpg format (full quality): Watch on Youtube: Watch and download video - mp4 format on Vimeo: View on Youku: Transcribe/Translate oTranscribeUpload subtitles

Feedback
Share
Upload transcript or translation for this talk

คำบรรยายจักรมูลาธาระถึงวอยด์ — “พวกเราต้องรู้บางอย่างมากกว่านี้”
โปรแกรมสาธารณะ, หอประชุมกิลด์ เดอร์บี้, สหราชอาณาจักร, ๑๐ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๘๒ (พ.ศ. ๒๕๒๕)

ขอขอบคุณสหจะโยคีทุกคนจากเดอร์บี้ไชร์และเบอร์มิงแฮมที่ให้โอกาสแม่ในการพูดกับผู้แสวงหาที่นี่

เรามีผู้แสวงหาในยุคใหม่นี้ เป็นสิ่งที่พิเศษมาก เราไม่เคยมีผู้แสวงหามาก่อน อย่างน้อยก็มีไม่มากนัก เคยมีแต่คนที่แสวงหาเงินทอง เคยมีจำนวนมากพอๆ กับคนที่กำลังแสวงหาในยุคนี้, คนที่แสวงหาอำนาจตามประเทศต่างๆ แต่มีน้อยคนนักที่เป็นดุจไข่มุกแห่งความผาสุกของพระเจ้า น้อยมาก เหตุผลคือสติรู้ สติรู้ระดับกลุ่มของมนุษย์ มนุษย์ไม่ได้คิดว่าพวกตนนั้นสามารถเข้าถึงสติหยั่งรู้ หรือไม่ได้คิดว่าตนต้องการแสวงหาบางสิ่งบางอย่าง

แต่วันนี้ช่างเป็นการผสมผสานที่สวยงาม ที่มีผู้แสวงหาที่มีคุณภาพสูงเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ผู้ที่แสวงหาเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งหรือสองคนที่ตรงนั้นตรงนี้ นั่งอยู่บนยอดเขา ในถ้ำหรืออะไรอย่างนั้นเพื่อนั่งสมาธิ แต่มีคนมากมายที่กำลังแสวงหา คนที่รู้สึกไม่พอใจกับตัวเอง กับสิ่งที่พวกเขามี พวกเขาคิดว่ามันต้องมีบางสิ่งที่เหนือขึ้นไป คนที่รู้สึกว่าพวกเขายังไม่ได้พบกับความหมายของตนเอง คนที่รู้สึกว่าพวกเขายังไม่ได้พบกับจุดประสงค์ของชีวิต คนที่รู้สึกว่ามีบางอย่างที่สูงส่งกว่าสิ่งที่พวกเขาค้นหาอยู่ในปัจจุบัน คนเหล่านี้คือผู้แสวงหา ไม่ใช่เฉพาะวันนี้แต่เป็นพันๆ ปี

ช่วงเวลาของพระคริสต์ไม่มีผู้แสวงหาเลย เพราะแม้แต่ศิษย์ของท่านเอง พวกเขาก็ถูกบังคับให้เข้ามาหาพระองค์ และพระคริสต์ต้องไปแสวงหาพวกเขาและตามหาพวกเขา แล้วพูดกับพวกเขาถึงสิ่งนั้น ดังนั้น เราจึงกล่าวได้ว่า นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญมากในประวัติศาสตร์แห่งการสร้างสรรค์ที่มีผู้แสวงหามากมาย

แต่ปัญหาที่เกิดกับผู้แสวงหาทุกวันนี้คือ พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาแสวงหาอะไร ไม่รู้ว่าต้องแสวงหาอะไร แสวงหาอย่างไร? ควรคาดหวังสิ่งใด? พวกเขาเข้าไปสู่ดินแดนที่ตนไม่รู้จัก เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่รู้เลย แล้วพวกเขาก็แสวงหาในพื้นที่ที่ไม่รู้จักนี้ ที่มีตัวแทนหลายคน คนเหล่านั้นต่างกล่าวว่า “ฉันนี่แหละสามารถมอบสินค้าแก่ทุกคน” อีกคนก็กล่าวว่า “ฉันเป็นผู้ที่สามารถทำได้” ความสับสนก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ยุคใหม่นี้คือยุคของความสับสน สับสนอย่างยิ่ง และเมื่อเกิดความสับสนขึ้นแล้ว เราจึงค่อยค้นหาหนทางแก้ปัญหาที่ดีเลิศและยั่งยืนเพื่อแก้ปัญหาทั้งหมดในทีเดียว ไม่เคยมีความสับสนอย่างนี้ในจิตใจของมนุษย์ อย่างที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ เช่นเดียวกับความถูกผิด ไม่เคยมากขนาดนี้ ไม่ว่าอะไรที่เราพูดว่าไม่ดี พวกเขาจะทำทั้งที่รู้ว่ามันผิด ถ้าพวกเขาเป็นคนดีเขาก็จะบอกว่า “เอาหละ นี่เป็นสิ่งดีเราจะทำความดี” ขณะที่ทุกคนรู้ว่าสิ่งนี้ถูกหรือผิด – พวกเขาอาจจะทำตาม แต่วันนี้ไม่มีใครรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกอีกต่อไป

นอกจากผิดและถูกแล้ว มีสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ คุณต้องรู้จักตัวคุณเอง เพราะความรู้นี้อยู่ภายในตัวเรา แต่ว่าเราไม่รู้จักตัวเองเราไม่รู้ถึงสิ่งสูงสุด เรามีชีวิตอยู่ในโลกที่ผู้คนไม่ยอมรับว่ามีสัจธรรมสูงสุด ด้วยสิ่งนี้ทุกคนดูเหมือนจะมีสติรู้ บางทีในจิตใต้สำนึก หรือบางทีในจิตไร้สำนึก แต่แท้จริง เราทุกคนต่างมีความรู้สึกข้างในว่า “เราไม่รู้” และมันเป็นความรู้สึกที่ซื่อสัตย์มาก แล้วมันก็เป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์ขึ้นมาว่า “เราควรจะรู้อะไรที่มากกว่าที่เป็นอยู่”

เวลาเราพูดถึงคำว่า “รู้” เราคิดเหมือนกับว่าถ้าแม่พูดว่า “แม่ไม่รู้เกี่ยวกับเดอร์บี้ไชร์ แม่ไม่เคยไป” อย่างนี้หมายความว่าอย่างไร “แม่ไม่รู้เกี่ยวกับเดอร์บี้ไชร์” แม่หมายถึงอะไรหรือที่แม่ไม่รู้เกี่ยวกับเดอร์บี้ไชร์? แต่แม่สามารถอ่านในหนังสือและรู้ได้ แม่สามารถรู้ถึงประวัติศาสตร์ของเดอร์บี้ไชร์ แม่สามารถรู้ว่าใครเป็นคนที่นี่ คนที่ทำเครื่องเคลือบที่สวยงามที่นี่ แม่รู้ได้ถึงประวัติของพวกเขา ทุกๆ อย่างแม่หาอ่านได้ แต่ก็ยังต้องพูดว่า แม่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเดอร์บี้ไชร์ เพราะแม่ไม่เคยมาที่เดอร์บี้ไชร์มาก่อน แม่ไม่เคยไปที่เดอร์บี้ ไม่เคยมาแถวๆ นี้ ไม่เคยเห็นที่นี่ ไม่เคยมาเยือน ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับสถานที่นี้ ดังนั้น แม่ไม่รู้เกี่ยวกับที่นี่ นี่คือสถานการณ์ที่แท้จริง

สถานการณ์ก็คือเราไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราได้เคยอ่าน เราเคยได้ยิน หลายคนเขียนถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมีคนรู้จึงมีการถามถึง พวกเขาก็เขียนมันออกมาเล่มแล้วเล่มเล่า เป็นพันๆ เล่มที่เขียนเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วจะมีสักกี่เล่มที่เป็นของจริง และกี่เล่มที่ไม่จริง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้ เพราะเราไม่ได้รู้จริงๆ สมมุติว่าบางคนพูดว่า “ดยุคแห่งเบดฟอร์ดเกิดที่เดอร์บี้ไชร์” เอาหล่ะ แม่รู้ได้อย่างไร? แม่จะไม่มีวันรู้จนกว่าจะได้พบบางคนที่เป็นคนจากที่นี่จริงๆ คนที่รู้เรื่องนี้จริงๆ ในทำนองเดียวกันความรู้ที่เรามีเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็สับสนมากเช่นเดียวกัน แต่นี่ไม่ใช่ความรู้และไม่เคยเป็นความรู้

ความคิดของความรู้มาสู่เรา ราวกับว่าเป็นคำตอบต่อคำถามของเรา เป็นคำตอบที่มีเหตุผลที่เราเข้าใจได้ด้วยสมอง ด้วยการใช้สมองคิด แต่พื้นที่ส่วนนี้อยู่เหนือมันสมองไปอีก เหนือเหตุผล เหนือขอบเขตของเหตุผล คือบริเวณที่ไร้ขอบเขต พื้นที่ไร้ขอบเขตนี้จะสามารถรู้ได้ด้วยประสบการณ์ของสติรู้ของคุณ ตอนนี้ เราควรจะเข้าใจประเด็นนี้ว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ในการที่จะรู้บางอย่างที่เกี่ยวกับประสบการณ์ของสติรู้ของเรา ไม่ใช่ประสบการณ์แบบที่พวกเขาเห็นแสงในทันที ดังนั้น มันเป็นประสบการณ์ – แม่หมายถึง, คุณสามารถเห็นแสงได้ตลอดเวลา มันยิ่งใหญ่มาก, ที่คนสามารถสัมผัสได้ว่าพวกเขาสามารถมองเป็นแสงประกายต่อหน้าพวกเขา – ไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่ มันอาจจะมีบางพื้นที่ในนั้นที่ประกายแสงสามารถเข้ามาได้สว่างวาบขึ้น, และบางทีก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรสำหรับพวกคุณ แต่นั่นทำให้คุณได้รู้สึกว่ามีประสบการณ์ ก็คือเราต้องรู้ว่าการมองเห็นนั้นไม่ใช่ประสบการณ์ ยกตัวอย่างเช่นที่สุนัขเห็นไมโครโฟนนี้ แต่มันรู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้ที่มันเห็น

ความรู้ของมนุษย์มีสิ่งดีเลิศมากมาย เมื่อเปรียบเทียบกับสติรู้ในระดับของสัตว์ ยกตัวอย่างเช่น สติรู้ถึงความสวยงาม สัตว์ไม่มี สติรู้ถึงความสะอาด สัตว์ไม่มี มนุษย์มีสิ่งเหล่านี้ที่ถูกสร้างขึ้นอยู่ในตัว พวกเขารู้สึกได้ พวกเขาสามารถรับรู้ผ่านระบบประสาทส่วนกลาง ดังนั้นอะไรก็ตามที่เป็นสติรู้ ควรที่มนุษย์จะรู้สึกได้ ผ่านระบบประสาทส่วนกลางของคุณ มันไม่ใช่แค่จินตนาการ หรือการอภิปรายเชิงสติปัญญา “อา ใช่แล้ว ฉันรู้ ฉันรู้” มันไม่ใช่อย่างนั้น ความรู้ควรจะผ่านเข้ามาทางความรู้สึก อย่างเช่นที่เราสามารถรู้ว่าร้อนหรือเย็น แต่ก้อนหินไม่รู้สึกอะไร

ในทำนองเดียวกันความรู้สึกต้องเกิดขึ้นผ่านระบบประสาทส่วนกลาง หมายความว่าสติรู้ของคุณต้องได้รับการกระตุ้น ต้องเข้าสู่มิติใหม่ สติรู้ของคุณต้องเข้าสู่มิติใหม่ ประสบการณ์อื่นไม่มีความหมาย ไม่ว่าจะเป็นวิวัฒนาการใดๆ ก็ตาม ในขั้นตอนการวิวัฒนาการของมนุษย์นั่นคือ ตัวสติรู้ที่พัฒนาขึ้น ได้รับมิติที่ดีกว่าเดิม และดียิ่งขึ้นกว่าเดิม และมิตินี้ได้มาถึงจุดสูงสุด เมื่อคุณได้กลายเป็นมนุษย์ เมื่อสติรู้ของคุณพร้อมที่จะรับสติรู้ของจักรวาล (Universal Being) ของความเป็นกลุ่ม (Collective Being) นั่นเองที่จะทำให้คุณกลายเป็นกลุ่ม (Collective Being)

แม่อยากจะบอกคุณเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ภายในตัวเรา ว่าเราถูกจัดวางไว้อย่างไร เป็นไปเพื่อจุดหมายทางปฏิบัติ คุณไม่ควรละเลยแม่ และไม่ควรที่จะปฏิเสธสิ่งที่แม่ได้บอกให้คุณรู้ มันเหมือนการเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย เราฟังอาจารย์แล้ว เราก็พยายามทำตาม สมมุติว่าเขาเสนอสมมุติฐานต่อคุณ แล้วคุณก็เริ่มใช้วิจารณญาณ ในที่สุดมันจะเห็นผล ถ้ามันถูกต้องคุณก็เรียกว่านั่นเป็นกฏ ในทำนองเดียวกัน เราต้องเข้าสู่ความเข้าใจใหม่นี้ เริ่มจากมองให้เห็น ไม่ใช่การปฏิเสธ หากมันถูก เราก็จะเชื่อ ไม่ควรจะมีศรัทธาที่มืดบอดต่อสหจะโยคะ ศรัทธามืดบอดเช่นนั้นไม่ช่วยอะไรเลย การปฏิเสธก็ไม่ควรเกิดขึ้น และหากจะฟังแม่พูดด้วยทัศนะที่เบิกบาน เพียงแค่คุณฟังแม่ เหมือนการตั้งสมมุติฐานในสิ่งที่แม่บอกแก่คุณ คุณไม่จำเป็นต้องยอมรับว่ามันเป็นสัจธรรมในตอนนี้

แต่เมื่อถึงเวลาแม่ก็จะพิสูจน์ความจริงให้กับพวกคุณ คุณก็จะได้พิสูจน์ความจริง เวลาจะมาถึงเพื่อพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อพิสูจน์ ไม่ใช่พิสูจน์ว่าแม่สอนคุณมากมาย หรือนำคุณเข้าสู่ศาลหรืออะไรเช่นนั้น แต่คุณจะพิสูจน์มันอย่างไร? ในสติรู้ของคุณ มันจะเป็นประสบการณ์สูงสุดของสติรู้ของคุณ ที่คุณจะสามารถรู้สึกได้ถึงพระเจ้า ถึงเวลาที่จะพิสูจน์คัมภีร์ต่างๆ คัมภีร์ทั้งหลาย ถึงเวลาที่จะต้องพิสูจน์การเชื่อมต่อของคุณกับพระเจ้า ความสัมพันธ์ของคุณกับท่าน ความสัมพันธ์ของคุณกับพลังแรกเริ่ม ไม่ว่าคุณจะเรียกว่า “พระเจ้า” หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็ไม่ได้แตกต่างสำหรับพระเจ้า ไม่ว่าคุณจะเรียกท่านในชื่อใดๆ พระผู้เป็นเจ้าก็มีอยู่ และการรับรู้เช่นนั้นอาจไม่ใช่วิธีที่เราคิดเอาว่าท่านเป็นอย่างไร หรือวิธีที่เราคิดว่าเราเข้าใจหรือรู้จักพระเจ้า แต่พระเจ้าคือพระเจ้า ตราบใดที่ตัวคุณยังไม่สามารถรู้สึกถึงความมีอยู่ของพระองค์ คุณก็ยังจะไม่เชื่อในท่าน แม้ว่าคุณเชื่อตามสภาวะแวดล้อม ความเชื่อนั้นก็คือความมืดบอด มันไม่มีความหมายสำหรับคนฉลาด แล้ววันหนึ่งก็จะมีคนอย่างนั้นที่จะประณามว่านั่นคือศรัทธามืดบอด

ดังนั้น ตอนนี้ภายในตัวเรา อย่างที่บอก ในร่างกายของเรามีระบบที่อยู่ภายในตัวเราโดยผ่านการพัฒนาของเราขึ้นสู่สติรู้ในระดับต่างๆ สติรู้ดังกล่าวเป็นเหมือนการจารึกประวัติศาสตร์ไว้ในตัวเรา ว่าเรากลายเป็นมนุษย์ได้อย่างไร ในสภาวะที่แตกต่างเราถูกแบ่งออกไป ส่วนแรกสุดคือ ภาวะคาร์บอน ที่เรากลายเป็นสิ่งมีชีวิต จากสิ่งที่ไม่มีชีวิตกลายเป็นสิ่งมีชีวิต ชีวิตเกิดขึ้น ณ จุดนี้ พลังยิ่งใหญ่ที่อยู่ในตัวเราถูกกำหนดขึ้นจากส่วนล่างที่ตั้งอยู่ในกระดูกสามเหลี่ยมที่เราเรียกว่า กุณฑาลินี พลังนี้คือพลังที่มีการบรรยายไว้ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ไบเบิ้ลว่าเป็นต้นไม้แห่งชีวิต “ข้าฯ จะปรากฏต่อท่านในรูปของเปลวไฟ” แต่พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ไบเบิ้ลนั้น เป็นเพียงสิ่งน้อยนิด จึงไม่สามารถอธิบายสัญลักษณ์ของพลังนั้น จนกว่าคุณจะมีสติรู้ตัวใหม่ หรือสติรู้ไวเบรชั่น มันก็ยังไม่สามารถอธิบายได้

พลังของสติรู้นี้จะเกิดได้ต้องมีความต้องการ ต้องเป็นความต้องการสูงสุด เป็นเพียงความต้องการที่แท้จริงเพียงอย่างเดียวที่เรามีอยู่ในตัวเรา แล้วความต้องการอื่นก็ไร้ประโยชน์ ดูอย่างประเทศที่ร่ำรวยในตอนนี้ พวกเขาบรรลุถึงความมั่งคั่ง พวกเขารํ่ารวยมาก แต่ก็ไม่มีความสุข คนที่รวยมากที่สุดอย่างชาวสวีเดน และในสวิสเซอร์แลนด์ที่แข่งกันว่ามีคนหนุ่มสาวกี่คนที่ฆ่าตัวตาย เมื่อไม่นานมานี้ แม่รู้มาว่าคนสวิส “มีฐานะดี” และกลายเป็นว่าคนสวิสฆ่าตัวตายมากกว่าคนหนุ่มสาวในสวีเดน

นี่เป็นสภาวะที่เราตระหนักได้ว่า ความร่ำรวยนั้น ถ้าหากว่าเป็นความต้องการของเรา มันย่อมไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริง เพราะเมื่อเรามีความร่ำรวย เราควรจะเป็นคนที่มีความสุขและสนุกสนานร่าเริงมาก แต่กลับไม่เป็นดังนั้น และพื้นฐานของเศรษฐกิจคือ ต้องการความเฉพาะเจาะจงที่อาจจะพอเพียง แต่โดยทั่วๆ ไปแล้วไม่เคยมีความพอ หมายความว่าความต้องการทางวัตถุไม่เคยพอ ดังนั้นเราต้องการอะไร แท้จริงแล้วสิ่งที่เราแสวงหาซ่อนอยู่ในพลังนี้ การแสวงหาอันนั้นคือการที่เราจะกลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระผู้เป็นเจ้า โยคะคือการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า สิ่งที่เราเรียกว่าแบ๊บติสซ์ ในคัมภีร์โกรานเรียก พีร์ คุณต้องกลายเป็นพีร์ คือการเกิดครั้งที่สอง มีการพูดถึงเรื่องนี้ในหลายๆ ภาษา แต่พูดถึงเรื่องเดียวกันในทุกๆ คัมภีร์ ถ้าคุณพยายามดูที่ความหมาย คุณจะประหลาดใจว่าในคัมภีร์เหล่านั้นพูดถึงสิ่งเดียวกัน

ตอนนี้บางคนอาจพูดว่า “บางทีอาจมีวิธีอื่น คุณแม่” อาจจะมีวิธีอื่นที่ได้ผล มันไม่มีวิธีอื่นเพราะวิธีนี้ทำกันมาเป็นหลายพันปีภายในตัวคุณ ตั้งแต่คุณยังเป็นคาร์บอนอยู่ และธรรมชาติก็เป็นผู้จัดการให้คุณ อย่างที่บางคนอาจจะพูดว่าเมล็ดพันธุ์จะแตกหน่อออกไปด้วยวิธีอื่น มันไม่มีวิธีอื่นในการแตกหน่อของเมล็ดพันธุ์ เมล็ดมีสายพันธุ์และสายพันธุ์นั้นต้องตื่นขึ้น นี่คือวิธีเดียวที่ได้ผลในทำนองเดียวกันมันก็จะทำงานในตัวคุณทุกคน พลังนี้จะได้รับการกระตุ้นในตัวคุณ ต้องได้รับการปลุกให้ตื่นขึ้นมา ถ้าพลังตื่นขึ้นมันก็จะทะยานสูงขึ้นไป แต่นี่คือพลังอะไร? พลังนี้จะเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ ดังนั้นพลังนี้จะรู้ว่าตนเองจะต้องกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ตอนนี้เรามีความต้องการอื่นอีกมากมาย อาจจะพูดได้ว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างไร? เหมือนกับเราต้องพูดว่า “มาที่เดอร์บี้ไชร์และพบพวกคุณ” ตอนนี้เรามาที่นี้แล้ว เรามาที่กิลด์ฮออล์ มาที่นี่แต่ไม่ได้พบคุณ ดังนั้น การมาของแม่ การเดินทางของแม่ก็สูญเปล่าเพราะแม่ไม่ได้มาพบพวกคุณ ไม่มีความหมายอะไรเลย ในทำนองเดียวกันกับความต้องการอื่น มีเพียงเพื่อเติมเต็มความปรารถนานี้ ซึ่งเป็นปรารถนาที่สูงสุด ความต้องการที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์

มีหลายอย่างที่สามารถพูดเกี่ยวกับกุณฑาลินี แต่ต้องพูดเป็นร้อยๆ ครั้งเกี่ยวกับกุณฑาลินี และเพื่อให้รู้มากขึ้น คุณต้องเข้าฝึกสหจะโยคะและเรียนรู้มากขึ้น แต่ตอนนี้แม่ต้องสรุปว่ากุณฑาลินีคืออะไรและไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร

ตอนนี้ เหนือขึ้นไปที่จริงเป็นอันที่สอง เป็นจักรที่สองที่เราจัดให้เป็นจักรที่สาม ตรงนี้เป็นศูนย์พลังของการแสวงหาของเรา ศูนย์พลังนี้เราเรียกว่าจักรนาภี ที่มอบการแสวงหาให้เรา ในขณะที่เราอยู่ในระดับของสัตว์ เราแสวงหาอาหารด้วยปากท้องของเรา และคุณจะประหลาดใจที่เมื่อเรากลายเป็นมนุษย์ เราก็ยังหาเงินผ่านปากท้องของเรา เราก็ยังเบี่ยงเบนไปทางโน้นบ้างทางนี้บ้าง แต่ที่สุดแล้วเราก็แสวงหาพระเจ้าโดยผ่านท้องของเราเช่นกัน

รอบๆ ท้องนี้เป็นพื้นที่ที่เราต้องข้ามไปให้ได้ และพื้นที่ตรงนี้เราเรียกว่าเป็นพื้นที่ของความเป็นครู คุรุแรกเริ่มเกิดจากส่วนนี้ เหมือนโมเสส โซเครติส คุรุแรกเริ่มโดยพื้นฐานแล้วมีอยู่สิบท่าน ผู้ที่อวตารลงมายังโลกนี้เพื่อมอบความคิดในเรื่องการแสวงหาให้กับเรา แล้วเราต้องทำอะไร ท่านลงมาเพื่อสอนเรา เพื่อให้เราสร้างสมดุลให้ตนเอง เมื่อเข้าสู่สภาวะสมดุลแล้วเราจึงจะสามารถเข้าสู่การพัฒนาที่สูงขึ้น

ศาสดาหรือปฐมคุรุเหล่านี้ เรากล่าวได้ว่าท่านคือคุรุ ท่านมาหาเรา แต่ถ้าคุณข้ามไปทางซ้ายมากเกินไป หรือขวามากเกินไป คุณก็จะวนเวียนอยู่ในวังวนของการยังชีพ ในคุณสมบัติที่เป็นมนุษย์ของคุณ ในฐานะของมนุษย์คุณต้องยังชีพอยู่ได้ และศูนย์พลังนี้ก็ค่อยๆ เปิดตัวเองออกมา การยังชีพจากสัตว์สู่สัตว์ชั้นสูง แล้วก็สู่ระดับของมนุษย์ที่คนเริ่มตระหนักว่าการยังชีพนี้มีอยู่ในตัวเรา นั่นเป็นเหตุให้เรายอมให้เกิดกฎในตัวเรา บัญญัติสิบประการในไบเบิ้ล คือสิบการบำรุงเลี้ยงที่มีอยู่ในตัวเรา คุรุทั้งสิบนี้ลงมายังโลกเพื่อช่วยมนุษย์จากการหลุดออกนอกทางสายกลาง ที่ไปซ้ายบ้างไปขวาบ้าง

ทีนี้มาดูที่ฝั่งซ้ายตรงนี้ ฝั่งนี้เป็นฝั่งของอารมณ์ที่อยู่ในตัวเรา แล้วก็เป็นพลังแห่งความต้องการด้วย เป็นฝั่งของอารมณ์ที่มอบจิตใต้สำนึกให้เรา และเหนือขึ้นไปคือสติรู้ในระดับกลุ่ม ในด้านขวามือเรามีพลังของการกระทำ ที่ความต้องการถูกผลักเข้าไปสู่การกระทำ และพลังของการกระทำนี้ก็มอบอนาคตให้เรา และบำรุงเลี้ยงเราทั้งร่างกายและจิตใจ และผลจากสิ่งนั้น เราได้พัฒนาสิ่งหนึ่งในศีรษะของเราที่เรียกว่า “อัตตา” ทุกๆ คนมีอัตตาไม่ต้องตื่นตระหนกไป เมื่อเราทำสิ่งใดเรารู้สึกว่าเราเป็นผู้กระทำ และนั่นคือความเชื่อดั้งเดิม แต่เราก็ยังคงอยู่ในความเชื่อดังกล่าว เพราะเรายังมองไม่เห็นความจริง

และอีกสิ่งที่อยู่ฝั่งซ้ายของเรา ซึ่งเปิดรับการรุกรานจากผู้อื่น ซึ่งเป็นที่เก็บอดีต ซึ่งเป็นช่องทางที่เก็บข้อมูลผลิตผลของกิจกรรมต่างๆ ที่เราทำไป อารมณ์ของเราที่เกิดจากกิจกรรมต่างๆ และส่วนที่คล้ายกับลูกโป่งนี้ คุณจะเห็นตรงนั้น เรียกว่า เงื่อนไข/อุปทาน สองสิ่งบรรจบกันในศีรษะของเราอย่างนี้ เมื่อเวลาที่คุณโตขึ้นมาและไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แล้วส่วนบนของศีรษะใกล้กับกระหม่อมส่วนนี้เป็นส่วนที่อ่อนนุ่มที่เต้นเป็นจังหวะเมื่อเราเป็นเด็ก จะถูกปิดอย่างสมบูรณ์ แล้วคุณก็เริ่มพัฒนาความเป็น “ฉัน” คุณกลายเป็นนาย ก. นาย ข. นาย ค. คุณพัฒนาอิสรภาพของคุณ นี่คืออิสรภาพที่คุณบรรลุได้ โดยเป็นนาย ก. นาย ข. นาย ค.

หลังจากที่คุณได้สิ่งนี้ คุณจะเริ่มใช้ศูนย์พลังที่สองซึ่งเป็นศูนย์พลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ของคุณ ศูนย์พลังแห่งการกระทำของคุณ สัตว์ไม่มีอัตตาใดๆ แน่นอนว่าถ้ามันอยู่กับมนุษย์ มันอาจจะพัฒนาไม่อย่างนั้นมันจะไม่มีอัตตาเลย และถ้าคุณทำสิ่งผิดคุณจะเจ็บปวด รู้สึกผิด สัตว์ไม่เคยรู้สึกผิด เพราะว่าเป็นธรรมชาติของมันที่ต้องฆ่าสัตว์อื่น มันเป็นธรรมชาติที่ต้องหาอาหาร มันไม่มีความรู้สึกผิด มีเพียงมนุษย์ที่พูดว่า “โอ้ ฉันไม่น่าพูดอย่างนี้เลย ไม่ควรทำอย่างนี้เลย” นี่เป็นคุณสมบัติของมนุษย์เท่านั้นในการรู้สึกผิด มันเป็นคุณสมบัติของมนุษย์เท่านั้นในการรุกรานผู้อื่น

ดังนั้น ศูนย์พลังที่สองจึงได้แสดงบทบาทด้วยสิ่งที่คุณคิด คุณคิดถึงอนาคต คุณวางแผนกายภาพของคุณและคุณคิด และคุณต้องการพลังงานในการคิดและพลังงานเหล่านี้ คุณได้มาจากเซลล์ไขมันที่อยู่ในช่องท้องที่แปรรูปเป็นอาหารของสมอง และเมื่อการแปรรูปเกิดขึ้น ศูนย์พลังที่น่าสงสารนี้ ก็ต้องทำงานหนักมาก เมื่อคุณคิด ศูนย์พลังนี้จะเป็นผู้กระทำ ต้องทำงานหนักมากๆ เพื่อการนี้เท่านั้น และมันก็ดูแลเรื่องการจัดหาเซลส์ไขมัน

อา! ตรงศูนย์พลังนี้ ที่เราเรียกว่า จักรสวาธิษฐาน ศูนย์พลังนี้มอบอนาคตของคุณ พลังงานในการคิดถึงอนาคตของคุณ แผนของคุณ ที่มอบพลังงานที่จะดึงคุณไปข้างหน้า ตัวแสดงของหน้าที่ทางกายภาพ การออกกำลังกายหรืองานทางกายภาพ ศูนย์พลังที่น่าสงสารนี้ต้องทำงาน งานเดียวในการแปรรูปไขมันให้เป็นอาหารสมอง ตอนนี้หนึ่งศูนย์พลังต้องดูอย่างอื่นมากมายอีกด้วย เริ่มจากงานๆ เดียวแล้วก็ทิ้งงานอื่นๆ ผลจากสิ่งนั้นคือคุณได้พัฒนาปัญหา เพราะว่ามันต้องจัดหาสิ่งที่ต้องการให้ตับของคุณ ให้ตับอ่อน ให้ไต ให้ม้าม และเมื่อมันทำงานเพื่องานๆ หนึ่ง มันก็มีแผนงานสำหรับงานนั้นและเมื่อมันไม่สามารถดูแลสิ่งเหล่านี้ได้ คุณก็จะพัฒนาตับที่แย่ พัฒนาเบาหวาน ปัญหาไต ความดันโลหิต และคุณก็พัฒนาโรคร้ายที่เรียกว่ามะเร็งเม็ดเลือด

ตอนนี้ สหจะโยคะสามารถรักษาปัญหาเหล่านี้ เพราะอาการเหล่านี้เป็นเพียงทางกายภาพเท่านั้น สหจะโยคะสามารถรักษาปัญหาทางกายภาพได้ เมื่อศูนย์พลังเหล่านี้ได้รับการฟื้นฟูสู่พฤติกรรมที่ปกติ ถ้ามันเป็นปกติ คุณก็สามารถรักษาโรคเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย โรคที่เกิดเพราะคุณมีกิจกรรมที่หักโหมเกินไป คิดมากเกินไป จินตนาการมากเกินไป มันเป็นอันตรายมากที่เรามักจะคิดถึงอนาคตตลอดเวลา

ยกตัวอย่าง, ตอนนี้เรานั่งอยู่ที่นี่, เราควรนั่งลงสบายๆ และคุยกัน แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ตอนนี้เรา, เรากำลังคิดว่าพรุ่งนี้จะทำอะไร หรือเราจะทำอะไรตอนที่กลับถึงบ้าน, จะทำอะไร, จะกินอะไรดี, หรือฉันจะไปขึ้นรถไฟอย่างไรดี การกระทำที่มุ่งแต่อนาคตเหล่านี้นำคุณไปสู่บุคลิกภาพที่น่าขบขันมาก คุณกลายเป็นคนที่จดจ่อแต่กับอนาคต จนลืมอดีตไปสิ้น

แม่พบสุภาพบุรุษคนหนึ่งที่ลืมแม้กระทั่งชื่อของเขาเอง เขาลืมชื่อพ่อของตนเอง ลืมชื่อแม่ด้วย ทำให้ภรรยาท้อใจ เพราะลืมชื่อเธอด้วย แล้วเธอก็เริ่มร้องไห้ เธอถามว่า “ตอนนี้จะทำอย่างไร? เขาลืมทุกอย่าง” ตอนนี้เขาอยู่ในพื้นที่อนาคต เขารู้แต่ในอนาคต ต้องดึงเขากลับมาให้อยู่ตรงกลาง แล้วเขาก็ค่อยๆ เริ่มที่จะจำได้ แล้วเขาก็บอกแม่ว่า เขาเคยเป็นประธานของสภาเทศบาลของเขตที่ใหญ่เขตหนึ่งในอินเดีย แล้วเขาบอกว่า “ไม่ใช่ ผมยังเป็นอยู่” แม่บอกว่า “ดีแล้ว นั่นดีขึ้น” ตอนนี้คุณอยู่ในสภาวะ ที่พูดว่า “ฉันเป็น”

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น และสิ่งนี้กำลังจะเกิดขึ้นกับสังคมของเราที่นี่ ที่มีแต่เรื่องของอนาคต เพื่อจะลดเงื่อนไข คุณสามารถลองอะไรก็ได้ คุณอาจจะลองอย่างอื่น เช่นคุณอาจจะแสดงรูปภาพในอดีตหรืออะไรอย่างนั้น แต่สิ่งนั้นมันก็ไม่นำความทรงจำกลับมา มันวิ่งเร็วมาก

สิ่งเดียวที่ทำได้ คือการปลุกกุณฑาลินีให้ตื่นขึ้น เมื่อกุณฑาลินีตื่นขึ้นแล้ว พลังก็จะให้การรู้แจ้งแก่ศูนย์พลัง และศูนย์พลังก็จะกลับไปอยู่ในสภาพปกติ ในพฤติกรรมที่ปกติ ในสภาพปกติ นอกจากนั้นยังมีพลังที่มีชีวิตชีวาหรือการแสดงออกที่มีชีวิตชีวาในศูนย์พลังนี้ ดูแลสติของเราให้มีการรู้แจ้ง และสติของเราก็จะรู้แจ้ง และสติที่รู้แจ้งก็จะมีชีวิตชีวา ในความรู้สึกตอนนี้ คุณนั่งที่นี่และตั้งสติไปที่ใครสักคน แค่ตั้งสติไม่ต้องทำสิ่งใด แค่ตั้งสติไปที่คนๆ นั้น คุณจะรู้ได้จากปลายนิ้วของคุณว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนๆ นั้น เขาอาจจะอยู่ห่างออกไปเป็นพันๆ ไมล์ ตอนที่นิกสันเกิดเรื่อง แม่พูดในทันทีว่า “ลองหาข่าวนิกสันสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา” แล้วพวกเขาก็บอกแม่ว่า “คุณแม่ เขาเกิดเรื่องยุ่งยาก”

พระคริสต์กล่าวว่า “มือของเจ้าจักพูดได้” เวลานั้นมาถึงแล้ว มือนี้ดูธรรมดา หากแต่สลับซับซ้อน มันถูกสร้างให้ซับซ้อน ให้เป็นปลายประสาทและมีขนาดเล็กมากจนเราไม่สามารถเข้าใจได้ว่ามือสามารถบอกเราได้ขนาดไหน ไปได้ไกลขนาดไหน เมื่อการตื่นเกิดขึ้น คุณจะเริ่มรู้สึกไวเบรชั่นรอบๆ ตัวคุณ พลังที่แพร่กระจายออกไปโดยที่คุณไม่เคยรู้สึกมาก่อนโดยผ่านปลายนิ้วเหล่านี้ ปลายนิ้วเหล่านี้ที่เราไม่สนใจ ที่เราใช้อย่างผิดๆ เราใช้เพื่อสิ่งที่ผิด ปลายนิ้วเหล่านี้ได้รับการรู้แจ้งและคุณจะเริ่มรู้สึก ที่แม่บอกว่า คุณต้องมีสติรู้ในตนเองที่รู้แจ้ง สติที่สว่างไสว มันคือความรู้ที่ต้องปรากฏออกมาและนั่นคือวิธีที่คุณเริ่มรู้สึกที่นิ้วของคุณ ตรงนี้ผิด ตรงนั้นผิด คุณสามารถรู้ได้ ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน ตอนนี้ นิ้วเหล่านี้เชื่อมโยงกับศูนย์พลังของคุณ นี่คือ ห้า หก และ เจ็ด เจ็ดในฝั่งซ้ายและเจ็ดในฝั่งขวา และนี่เกี่ยวกับด้านอารมณ์ของคุณ นี่เกี่ยวกับฝั่งขวา เกี่ยวกับกายภาพ และเหตุผล หรือคุณเรียกได้ว่าเป็นฝั่งของความคิด

คุณสามารถรู้ได้ว่าคนๆ หนึ่งเป็นอย่างไร ด้วยความรู้ว่าคุณรู้สึกร้อนจากคนๆ นั้นหรือคุณกำลังร้อนเหมือนถูกเผาจากคนๆ นั้น หรือรู้สึกชาหรือหนัก และความเชื่อมโยงก็เกิดขึ้น ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สื่อสารกับคุณ คุณได้รับสารและเป็นสารที่ถูกต้อง แม้แต่ถ้าคุณมีเด็กที่มีวิญญาณตระหนักรู้สักสิบคน มีเด็กมากมายในสมัยนี้ที่เกิดมามีวิญญาณตระหนักรู้ เราไม่เข้าใจเด็กในสมัยนี้ แต่พวกเขาเป็นเด็กที่พิเศษมาก พวกเขามาเกิดตอนนี้เพราะถึงเวลาแล้ว นี่คือเวลาแห่งการพิพากษา นี่เป็นเวลาแห่งการฟื้นคืนชีพ นี่เป็นเวลาที่มีการอธิบายไว้ในคัมภีร์ทุกเล่ม ว่าจะมีคนที่ยิ่งใหญ่มากมาเกิด และเด็กเหล่านี้ ถ้าคุณปิดตาพวกเขา แล้วถามถึงคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขา ว่าคนๆ นั้นมีปัญหาอะไร พวกเขาจะยกนิ้วเดียวกันขึ้นมา พวกเขาทั้งหมดจะยกนิ้วเดียวกันขึ้นมา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกปิดตา แม้จะให้พวกเขาหันหลังให้คนๆ นั้น พวกเขาจะยื่นมือแล้วบอก พวกเขาเก่งมาก เด็กเก่งมาก

ดูเวลาที่พวกเขาอมนิ้ว บางครั้งเราก็คิด ไม่รู้สิ ฟรอยด์คนที่แม่เรียกว่าคนครึ่งๆ กลางๆ เขาไม่รู้เกี่ยวกับพระเจ้าและชีวิตและสิ่งใดเลย เขาเป็นคนที่รู้น้อยมากๆ – เขากล่าวว่าสิ่งเหล่านี้นำสู่เรื่องเพศ เขาไม่มีเรื่องอื่นนอกจะเรื่องเพศ และเขาก็ต้องการให้ทุกคนที่มุ่งประเด็นไปที่เรื่องเพศ, ไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นคนๆ นี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร – ความจริงคือมันไม่มีอะไรเกี่ยวกับเรื่องเพศเลย เพียงแต่เด็กๆ รู้สึกร้อนที่ปลายนิ้ว พวกเขารู้สึกจริงๆ แล้วพวกเขาก็จะอมนิ้ว พวกเขาเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่แม่เห็น เรามีคนนึงมาจากอังกฤษ จากลอนดอน และตรงโน้นมีอีกคนที่มาจากแถวนี้ แล้วก็คนนั้น คุณถามเด็กเหล่านี้ได้ พวกเขาจะบอกคุณทันทีว่าตรงไหนที่จักรติดขัด จักรไหนที่ติดขัด ตอนนี้คุณหลอกเด็กไม่ได้ พวกเขาจะบอกในสิ่งเดียวกัน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น

สติของคุณได้รับแสงสว่างแห่งความรู้ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และมือของคุณก็มีนิ้วที่ส่วนปลายมีระบบประสาทอัตโนมัติติดตั้งอยู่, จะบอกคุณ เราสามารถกล่าวได้ว่าเราจะสามารถรับรู้ความจริงเกี่ยวกับผู้อื่น และเกี่ยวกับตนเองได้ผ่านระบบประสาทส่วนกลางของเรา

สมมุติว่าคุณนั่งตรงนี้ แล้วแม่ถามคุณว่า “เกิดอะไรขึ้น?” คุณจะบอกว่า “ผมไม่รู้ว่าปัญหาของผมคืออะไร” “ผมไม่รู้” แต่แม่อาจบอกคุณได้ว่ามีปัญหาอะไร คุณไปหาหมอเขาก็จะบอกว่า “ใช่ นั่นแหล่ะปัญหา คุณรู้ได้อย่างไร?” คุณไม่ต้องไปตรวจอะไรเลย ในการตรวจพยาธิวิทยา ที่ซึ่งหมอจะถอนฟันของคุณออกทั้งหมด เอาลูกตาออกมาทั้งหมด แล้วเมื่อตรวจเสร็จเขาจะบอกว่าความจริงคุณมีสุขภาพแข็งแรงดี คุณไม่จำเป็นต้องไปทำเรื่องน่ากลัวเหล่านี้ คุณไม่จำเป็นต้องเสียเงิน แล้วลองทำเรื่องน่าหงุดหงิดเหล่านี้ แค่ยื่นมือของคุณ คุณก็จะรู้เกี่ยวกับตัวคุณเอง และคนที่เป็นสหจะโยคีจะบอกคุณได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ และนี่คือวิธีที่คุณได้รับการรักษา

ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว นี่เป็นเวลาที่ยอดเยี่ยม ด้วยสหจะโยคะเรารักษาผู้ป่วยมะเร็งหลายคน ผู้ป่วยมะเร็งในเม็ดเลือด ไม่นานมานี้ มีเด็กสาวสหจะโยคินีคนหนึ่งในนิวยอร์คที่สามารถรักษาผู้ป่วยมะเร็งในเม็ดเลือด หนุ่มคนนี้กำลังจะตาย พวกเขายืนยันว่าเขากำลังจะตาย พวกเขายืนยันว่าหมดทางรักษา เขาจะมีชีวิตได้อีกประมาณสิบห้าวัน แล้วเขาก็จะตาย นั่นเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ สิ่งที่คนน่าสงสารคนนี้ต้องประสบ เด็กคนนี้มาจากอินเดีย ใช้เงินที่มีทั้งหมด แล้วนี่คือคำยืนยันที่เขาได้ คือเขาจะต้องตายในสิบห้าวัน

ทีนี้คนพวกนี้ก็ติดต่อแม่มา แล้วแม่ก็บอกให้พวกเขาติดต่อกับสหจะโยคินีในนิวยอร์ค แล้วพวกเขาก็บอกว่า เด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ที่นั่น เขาชื่อ ราหุล อายุประมาณสิบหกปีเท่านั้น เขาเป็นมะเร็งเม็ดเลือด ไม่ใช่แค่ได้รับการรักษา เด็กหนุ่มนั้นได้มาหาแม่ที่ลอนดอน, แล้วก็กลับบ้าน

อัศจรรย์มากที่คนๆ หนึ่งที่ไม่ใช่หมอ คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับยาสามารถรักษาคนได้ เหนือยาเหล่านี้ เหนือสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ คือพลังที่ละเอียดอ่อน เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์จากที่ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ถ้าคุณหรือใครกลายเป็นเจ้าของพลังนั้น หรือคนที่รู้ว่าจะใช้พลังอย่างไร, คุณจะสามารถรักษาคนที่คุณต้องการได้ ทุกวันนี้ไม่ใช่แม่ที่ให้การรักษา ลูกศิษย์ของแม่เป็นคนรักษา แม่ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่คุณหมอวอเรนคนนี้ ที่เป็นหมอจริงๆ ได้รักษาคนโดยใช้สหจะโยคะ, ไม่ใช่ศาสตร์การแพทย์ มีคนไข้กี่คนที่เขารักษาไปแล้ว เขาไม่สามารถนับได้ถ้วน

ระบบทั้งหมดกำลังจะเปลี่ยน ตอนนี้คุณจะกลายเป็นนายของตัวเอง ของพลังของคุณ และพลังทั้งหมดนี้จะถูกปลดปล่อยมาจากตัวคุณ เมื่อเราพูดว่ามีคุรุที่สามารถรักษาโรคได้ มีคุรุที่สามารถหยุดการเติบโตของโรคร้ายและอะไรอย่างนั้น เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เราคิดว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จะเป็นไปได้อย่างไร จะเชื่อได้อย่างไร เป็นเรื่องไร้สาระ แต่คุณเองเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น คุณจะแปลกใจ
ครั้งหนึ่งแม่เดินทางโดยเรือ แล้วแม่ก็ให้การตระหนักรู้แก่กัปตันเรือ เรื่องเกิดขึ้นคือมีลูกเรือคนหนึ่ง เข้าไปในห้องเย็น แล้วเขาเกิดช็อคกระทันหันและก็เป็นปอดบวม แต่คุณก็เห็นว่าแม่อยู่ในตำแหน่ง แม่เดินทางไปกับสามี ซึ่งเป็นประธานบริษัท ดังนั้นเขาจึงไม่ขอให้แม่ลงไปข้างล่าง เขาคิดว่ามันมากเกินไปสำหรับแม่

แม่ว่า “เอาหล่ะ ถ้าคุณไม่ให้แม่ลงไป คุณควรจะลงไปหาเขา ตรงที่ที่เขาอยู่ ไม่ต้องขอความช่วยเหลือ ไม่ต้องเรียกหมอหรืออะไรก็ตาม แค่วางมือของคุณบนหน้าอกของเขา ประมาณห้านาที”

อาการปอดบวมของเขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง แล้วกัปตันคนนี้ เขาก็ไม่อยากจะเชื่อ เขาว่า “เป็นไปได้อย่างไร” แม่บอกว่า “มันเป็นอย่างนั้นหล่ะ” ที่เกิดขึ้นกับพวกคุณ

ตอนนี้คุณต้องยอมรับ คุณต้องยอมรับเอาพลังนั้น พลังที่คุณได้รับในภาษาสันสกฤตเราเรียกว่า “วิราฏ” จงยอมรับพลัง เห็นไหมว่า แม้ว่าแม่จะให้บัลลังก์แก่คุณ แต่ถ้าคุณไม่รู้ว่าจะยอมรับอำนาจของบัลลังก์อย่างไร เพื่อจะเชื่อในพลังนั้น มันก็เหมือนเด็กขอทาน ถ้าคุณให้เขาไปนั่งบนบัลลังก์ เขาก็ยังมองหาคน เดินลงมาและแบมือขอ “ขอห้ารูปี ขอห้ารูปี” ตราบใดที่คุณยังไม่ยอมรับพลังนี้คุณก็ยังคงไม่มั่นคง แต่บัดนี้คุณมีพลังนี้แล้ว และนี่เป็นจุดที่ยากที่จะเข้าใจโดยเฉพาะกับคนตะวันตก เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าพวกเขามีพลังนี้อยู่ พวกเขาแค่ไม่เชื่อ คุณบอกเขาแต่พวกเขาจะบอกว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร?” แต่มันเป็นเช่นนั้น

ยกตัวอย่างเช่นเครื่องมือนี้ ถ้าคุณนำมันไปที่หมู่บ้านที่ห่างไกล แล้วบอกพวกเขาว่า สิ่งนี้ทำให้เสียงดังไปรอบๆ หรือถ้าคุณเอาทีวีไป แล้วบอกพวกเขาว่า คุณสามารถดูหนังได้ทุกประเภท หรือเราบอกว่าจะมีละครหรือการแสดง หรือดนตรีในนั้น เขาจะไม่เชื่อ จะบอกว่า “กล่องนี้น่ะหรือ? นี่มันเหมือนกล่องไม้ธรรมดา” แต่เมื่อคุณเสียบปลั๊กมันก็จะแสดงพลังงานออกมา

ในทำนองเดียวกัน เมื่อคุณมองไปที่มนุษย์ คุณมองว่าเป็นของสามัญ, เป็นอะไรที่ธรรมดามากๆ เรามองข้ามตัวเราเอง เราไม่รู้ว่าเรารุ่งโรจน์อย่างไร เรายิ่งใหญ่อย่างไร พระเจ้าสร้างเรามาอย่างยากลำบาก ด้วยความห่วงใย ด้วยความรัก โดยมีจุดมุ่งหมายพิเศษที่ท่านต้องการมอบพลังทั้งหมดของท่านให้แก่คุณ ท่านต้องการให้คุณก้าวเข้าสู่อาณาจักรของท่าน มีความสุขกับพรและความรักของท่าน มันเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถเชื่อได้ เราหงุดหงิด เรารังเกียจตัวเอง รังเกียจสังคม รังเกียจทุกอย่าง แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น ไม่เลย แต่มันเพียงแต่ต้องเกิดขึ้นอย่างนั้น คุณเพียงแต่เสียบสายเข้ากับแหล่งกำเนิดของพลัง แล้วพลังก็จะทำงาน แล้วพลังก็จะทำงาน มันใช้งานได้ พลังนี้ได้มีผลกับคนเป็นพันๆ คนแล้ว กับคุณมันก็ควรใช้ได้ด้วย

กรอบความคิดของมนุษย์ช่างเป็นสิ่งที่เหลวไหล กรอบความคิดของมนุษย์ก็คือเราสามารถซื้อหาอะไรได้หมด แม่หมายถึง คุณจะจ่ายเงินซื้อสิ่งที่มีชีวิตได้หรือ? คุณเคยจ่ายเงินซื้อสิ่งที่มีชีวิตหรือ? เช่นคุณเคยจ่ายเงินเพื่อให้ได้ผลไม้ออกจากดอกหรือไม่? คุณจะจ้างดอกไม้งั้นหรือ? “เอาหล่ะฉันให้เงินเธอหนึ่งปอนด์ เธอเอาผลมาให้ฉัน” มันจะได้หรือไม่? ไร้สาระ คุณไม่สามารถจ่ายสำหรับพระเจ้า คุณไม่สามารถจ่ายเพื่อประสบการณ์ชีวิตได้ คุณไม่สามารถจ่ายเพื่อนำมาซึ่งกระบวนการวิวัฒนาการ มันเกิดขึ้นเอง อยู่ภายในตัวเราแล้วปรากฏออกมา

แต่เราเข้าใจเรื่องเงินมากมายเหลือเกิน หากว่าอะไรได้มาโดยไม่ต้องใช้เงินเรามักไม่เข้าใจ แม้ว่าเราจะได้อะไรหลายๆ อย่างโดยไม่เสียเงิน มีหลายอย่างที่เราได้มาฟรีๆ เราก็ยังไม่เข้าใจถึงความสำคัญของสิ่งที่ฟรี เพราะว่าเราคิดว่าอะไรที่ฟรี ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่จริง สิ่งที่ยิ่งใหญ่ทุกอย่างต้องได้มาฟรี หากไม่เช่นนั้นเราคงไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เราจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ถ้าเราไม่มีอากาศหายใจอย่างเสรี เราคงไม่มีชีวิตอยู่ บางครั้งมันเกิดขึ้นได้ในเครื่องบินหรือในบางที่ คุณควรจะเห็น เมื่อนั้นคนจึงจะตระหนักถึงคุณค่าของของฟรีเหล่านี้ที่เรามองข้าม

ดังนั้น เราต้องเข้าใจถึงแนวคิดที่เรามีต่อพระเจ้าและเกี่ยวกับการเข้าถึงพระองค์ เกี่ยวกับการมองเข้าไปในตัวตนของเราซึ่งยังผิดอยู่ สมมุติว่า เราคิดว่าถ้าหากเราเอาหัวยืนต่างเท้า เราอาจจะเข้าใจ หมายถึงถ้าใช้หัวยืนต่างเท้าแล้วสามารถเข้าถึงพระเจ้า หากเป็นเช่นนั้นจริง ชีวิตที่เกิดจากกระบวนการวิวัฒนาการก็ต้องใช้หัวยืนต่างเท้าเช่นกันไปหมดแล้ว หรือว่าเราคิดว่าด้วยการแข่งกันทำอย่างนี้เราจะสำเร็จ หรือด้วยการกินอาหารแบบนี้หรือแบบนั้น หรือทำอย่างนี้อย่างนั้นแล้วเราจะได้ ที่จริงมันผิด แต่คุณก็อาจจะถามว่า ทำไมคนในศาสนาพูดอย่างนี้หล่ะ “ไม่ควรทำสิ่งนี้และไม่ควรทำสิ่งนั้น” ที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นพูด เพราะว่าสิ่งเหล่านี้คือ สิ่งที่ต้องทำเพื่อการดำรงอยู่ของเรา เพื่อให้มนุษย์มีสมดุล เราจะเสียสมดุลหากเราไม่ทำตามสิ่งเหล่านี้ เราต้องมีสมดุล นั่นเป็นเหตุที่ศาสนาต้องสอนว่า “อย่าทำ”

มนุษย์มีความสามารถในการที่จะไปสุดโต่งหากคุณบอกพวกเขาบางอย่าง แม่รู้จักคนเช่นนี้ แค่คุณบอกให้เขาต้องรักษาจักรใดจักรหนึ่ง คุณต้องทำอาสนะ หรือคุณต้องทำอะไรอย่างนี้ พวกเขาก็จะทำเป็นร้อยครั้งพันครั้งในวันเดียว แม่ไม่เคยขอให้ทำอย่างนั้น แค่บอกให้ทำเป็นครั้งคราว หรืออาทิตย์ละครั้ง พวกเขาก็จะทำเป็นร้อยๆ ครั้ง เรามักจะทำอย่างสุดโต่ง นั่นเป็นเหตุที่เราต้องอยู่อย่างสมดุล พวกท่านบอกเราว่า “อย่าทำสิ่งนี้ อย่าทำสิ่งนั้น” แต่อัตตาก็ยังคงพูดว่า “ทำไมทำไม่ได้ จะเป็นไรไป” เอาล่ะ เอาเลย เมื่อเราบอกเด็กๆ ว่า “อย่าสูบบุหรี่” “ทำไมไม่ได้? เพื่อนผมก็สูบกันทั้งนั้น ผมจะสูบ” เอาเลย สูบเลยแล้วก็เป็นมะเร็ง แล้วคุณก็ต้องเจาะรูตรงนี้ หายใจผ่านตรงนี้ หลังจากนั้นที่นี่ (บริเวณคอ) ก็จะหายไป จมูกก็จะหายไป แล้วเวลาคุณหันไปหาคนอื่นก็จะดูเหมือนหุ่นยนต์ พูดไม่ได้ ไม่สามารถมีชีวิตปกติเหมือนคนอื่นได้ แล้วคุณก็ตระหนักว่า “โอ้ พระเจ้าเราไม่น่าจะสูบบุหรี่เลย”

แต่ในสหจะโยคะเราไม่บอกว่า “ห้ามสูบ” เพราะคนครึ่งหนึ่งจะเดินจากไป เราไม่เคยบอกว่า “ห้ามดื่มเหล้า” ไม่เคยพูดว่า “อย่า” เราจะบอกว่า “เอาหล่ะ คุณกำลังทำสิ่งนี้ ไม่เป็นไร ให้มันเป็นไป” ทันทีที่มันเกิดขึ้นคุณก็เลิก เพราะคุณได้พบสิ่งที่สูงสุด แล้วคุณก็ไม่สนใจสิ่งเล็กๆ น้อยๆ คุณจะเลิกนิสัยเก่าๆ ไปโดยอัตโนมัติ แม่ไม่ต้องบังคับเลย ทุกอย่างอยู่ในตัวคุณอยู่แล้ว, พลังนั้น, เหมือนคุณถูกยกขึ้น เหมือนดอกบัวที่พ้นจากโคลนตม มันเป็นพลังของคุณเอง คุณขึ้นมาพร้อมกับความหอมของตัวเองที่ปกคลุมโคลนนั้นและคุณจะประหลาดใจ อันดับแรก คุณเปรียบเสมือนบัวที่อยู่กับโคลนตม และคุณคิดว่า มันเป็นอย่างนั้น แต่มันไม่ใช่ เมื่อมันโผล่พ้นออกมาเป็นดอกบัว มันผลิบาน และมีกลีบที่สวยงาม และความหอมนั้นก็มอบบุคลิกภาพให้เราซึ่งแผ่กระจายไปทั่ว และนั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคุณ พวกคุณทุกคนกำลังจะเป็นเช่นดอกบัวที่ดูประหนึ่งซ่อนอยู่, ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดในตัวคุณ, ที่กำลังจะเบ่งบาน และความหอมของความศักดิ์สิทธิ์ของคุณกำลังจะแผ่กระจายออกไป

วันนี้แม่ไม่สามาถพูดถึงศูนย์พลังทั้งหมดได้ เพราะถ้าแม่จะพูดถึงทุกศูนย์พลัง มันจะใช้เวลานานมาก วันนี้แม่จะพูดถึงสามศูนย์พลังอย่างที่คุณเห็น จักรมูลาธาระ จักรสวาธิษฐาน และจักรนาภี ส่วนศูนย์พลังอื่นแม่จะพูดในวันพรุ่งนี้ แต่แม่ก็ต้องพูดถึงจิตวิญญาณด้วย เกี่ยวกับสิ่งที่เราพูดถึงมานานแล้ว ที่เราต้องกลายเป็นจิตวิญญาณ

ในภาษาอังกฤษ อย่างที่คุณรู้ “สปิริต” มีหลายความหมาย เป็นคำที่มีความคลุมเครือมาก แม้แต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เราก็เรียกว่า “สปิริต”, แม้แต่วิญญาณของคนตายเราก็เรียก “สปิริต”, และสปิริตที่เป็นจิตวิญญาณของเรา ตัวตนอันบริสุทธิ์ที่เรียกว่า “อัตมา” ในภาษาสันสกฤต, เราก็เรียกว่า “สปิริต” นี่คือสิ่งที่แม่กำลังพูดถึงเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ที่เป็นตัวตนอันบริสุทธิ์ภายในตัวคุณ ที่เป็นตัวตนอันไม่ยึดติดภายในตัวคุณ ที่เป็นพยานในตัวคุณ ที่มองคุณอยู่ตลอดเวลา ที่เฝ้ามองคุณอยู่ตลอดเวลา ที่อยู่ในตัวคุณในรูปแบบของความปีติและความสุขในหัวใจ มันอยู่ในหัวใจ จิตวิญญาณไม่ใช่จิตสำนึกของเรา ไม่ใช่ระบบประสาทส่วนกลางของเรา ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเรา

เปรียบเทียบกับ, ฝั่งซ้ายเหมือนเบรครถ และฝั่งขวาเหมือนคันเร่งในรถ ทีนี้เราเริ่มเรียนขับรถ นั่งด้านหน้า แล้วอาจารย์ก็นั่งดูจากด้านหลัง แล้วดูการแสดงทั้งหมด ตอนนี้สิ่งที่คุณทำคือไปทางด้านซ้าย หมายถึงบางครั้งคุณเหยียบเบรค บางครั้งคุณก็เหยียบคันเร่ง แล้วลองผิดลองถูกและค่อยๆ เรียนขับรถ การเรียนนี้คือส่วนของปัญญาที่เข้ามาสู่เราด้วยการสร้างสมดุลในชีวิต ความสมดุลคือสิ่งสำคัญที่สุดในการเริ่มต้น แต่ถึงแม้ว่าคุณจะไม่มีความสมดุล แม่เห็นคนในสหจะโยคะที่ไม่สมดุลอย่างมาก สามารถเข้าสู่ความสมดุลได้

ตอนนี้ การปรับสมดุลทั้งซ้ายและขวา หรือเปรียบเทียบกับเบรคและคันเร่ง ให้คุณอยู่ในสถานะที่สามารถพูดได้ว่า ตอนนี้คุณสามารถขับรถได้แล้ว แต่อาจารย์ก็ยังคงนั่งอยู่ด้านหลัง แล้วคุณก็กลายเป็นอาจารย์ อาจารย์ก็คือจิตวิญญาณภายในคุณ คุณจะกลายเป็นจิตวิญญาณ และคุณก็เริ่มมองตัวเองในฐานะคนขับรถ ทุกสิ่งกลายเป็นเหมือนละครที่คุณแยกตัวคุณเองออกมาและเริ่มมองดู ทุกๆ อย่างเกิดขึ้นต่อหน้าคุณ ทุกๆ อย่างเกิดขึ้นเหมือนละครที่อยู่ภายนอกตัวคุณ และคุณก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน

แล้วคุณก็เข้าสู่พื้นที่ส่วนกลางของคุณ และสภาพแวดล้อมไม่สามารถมีผลกระทบกับคุณได้ คุณจะกลายเป็นคนที่อยู่ในความเงียบสงบ ปีติสุข เงียบและเห็นสิ่งที่อยู่รอบๆ และการเคลื่อนไหวทั้งหมด แต่คุณไม่ได้อยู่ในวังวนนั้น นั่นทำให้คุณกลายเป็นอาจารย์ นั่นทำให้คุณกลายเป็นปราชญ์ แต่วันนี้สหจะโยคะมีพลังที่จะสร้างคนของพระเจ้าให้เป็นปราชญ์ และปราชญ์เหล่านี้ก็มีพลังที่จะทำให้ผู้อื่นเป็นปราชญ์ อย่างวิลเลี่ยม เบรค กวีผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศนี้ และนั่นคือสิ่งที่สหจะโยคะเป็น เขาทำนายเอาไว้เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว วันนี้ ถ้าคุณเข้ามาฝึกสหจะโยคะจะแปลกใจในสิ่งที่คุณเป็น อะไรก็ตามที่เขาทำนายเกี่ยวกับประเทศอังกฤษว่าจะเป็นเยรูซาเล็มในอนาคต อนาคตนั้นคือวันนี้

ประเทศของคุณนี้, อังกฤษ – ที่แม่ไม่รู้ว่าผู้คนจะเข้าใจหรือรับรู้หรือไม่ว่าประเทศนี้เป็น, หัวใจของจักรวาล, เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในจักรวาล – ที่จะต้องกลายเป็นเยรูซาเล็ม เพื่อสิ่งนั้น ชาวอังกฤษต้องสลัดความเฉื่อยออกไป เพื่อเห็นถึงศักยภาพของตัวเอง เพื่อขึ้นสูงถึงจุดนั้น และประสพผลสำเร็จ ตอนนี้ มันได้ผลอย่างดีในลอนดอน แน่นอนว่าเราไม่ควรมีคนมากนัก เพราะว่าเราสามารถผลิตพลาสติกด้วยเครื่องจักรกล จำนวนนับพันๆ ชิ้น แต่ถ้าคุณต้องการบางสิ่งที่มีชีวิตก็จำเป็นต้องใช้เวลา ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา ในที่สุดมันก็ต้องเติบโต แม่มั่นใจว่าประเทศที่ยิ่งใหญ่นี้จะยอมรับสถานะของการกลายเป็นเยรูซาเล็ม ที่ของการบูชา ที่ซึ่งผู้คนต้องมาสักการะ

มันน่าประหลาดใจมาก, มีสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นด้วยพลังของสหจะโยคะ ดอกเดซี่ที่ไม่เคยมีกลิ่นหอม ถ้าคุณไปดูตอนนี้, มันมีกลิ่นหอม ดอกไม้อังกฤษส่วนใหญ่ไม่มีกลิ่น เป็นที่รู้กันทั่วไปเช่นนั้น ตอนนี้ดอกไม้ส่วนใหญ่มีกลิ่นหอมมาก คุณสามารถเห็นได้ด้วยตัวเอง ธรรมชาติทำงานเหล่านี้เอง, ทำสำเร็จแล้ว, ดอกไม้ทั้งหลายกำลังก้าวเข้ามา แล้วมนุษย์หล่ะ พวกเขาอยู่ไหน? ทำอะไรอยู่, เขาหลงทางอยู่ที่ไหน? นี่เป็นเรื่องน่าเศร้ามาก

แม่ได้มาที่ลอนดอนโดยบังอิญ หรือบางทีอาจจะมีการตระเตรียมไว้ล่วงหน้า สามีของแม่ได้รับเลือกให้ทำงานนี้ แล้วเขาก็ต้องมา หน่วยงานนี้ขององค์การสหประชาติตั้งอยู่ที่นี่ที่เดียวในอังกฤษ ไม่มีที่อื่น พวกเขามีหน่วยงานเดียวนี้ที่อังกฤษ หน่วยงานที่สามีของแม่ได้รับเลือก ดังนั้น แม่จึงมาที่นี่ ไม่อย่างนั้นแม่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมาที่นี่ในฐานะของคุรุ เพราะว่าแม่ไม่ได้สนใจเรื่องอื่นๆ นอกจากเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นแม่ก็ไม่สามารถมาที่นี่ เพราะถ้าไม่ได้รับเชิญแม่ก็ไม่สามารถมาได้ แม่มาในฐานะอาคันตุกะ

ทั้งหมดกำลังทำงาน คุณแต่ละคนต้องทำงานด้วยตัวคุณเองและต้องเข้าใจ ไม่ใช่แค่กระตือรือร้น หรือพลังชีวิต แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ณ จุดที่คุณกำลังยืนอยู่ คือปากเหวของหายนะหรือปากประตูของการสร้างสรรค์ และคนอังกฤษมีสถานที่พิเศษ พวกเขาต้องก้าวขึ้นมาสู่จุดนั้น เพราะว่าพวกเขาเป็นเซลล์หัวใจ

แม่จะสอนเรื่องนี้วันพรุ่งนี้ แม่หวังว่าคุณจะมาและทำตัวตามสบาย ขอโทษสำหรับเสียงแม่ แม่พูดทุกวันติดต่อกัน ขอบคุณมาก

มีใครอยากถามบ้าง แม่จะตอบให้

แม่ขอคำถามจากพวกคุณ และแม่จะตอบให้

คำถาม : ท่านพูดว่า เราสามารถรักษาหลังจากการตระหนักรู้ ปัญหาคือ แม่ของเขาหูหนวก ท่านสามารถแก้ปัญหาการได้ยินได้หรือไม่?
คุณแม่ศรีมาตาจี : เห็นไหมคำถามนี้มันช่างทำให้แม่รู้สึกว่า แม่เป็นบุคคลที่ต้องรักษาทุกๆ คน คุณเข้าใจผิดอย่างน่าเศร้า มันเป็นผลพลอยได้จากการตื่นขึ้นของกุณฑาลินี คุณจะได้รับการรักษา ขอโทษที่ทำให้พวกคุณเข้าใจแบบนี้ ถ้าแม่มาที่นี่เพื่อรักษาคน แม่ก็ควรไปอยู่ที่โรงพยาบาล แต่สิ่งสำคัญคือกุณฑาลินีที่ต้องตื่นขึ้น ตกลงไหม? เพื่อรักษาคุณ ถ้าแม่คุณอยู่ที่นี่ เราจะทำด้วยกัน

แต่สิ่งสำคัญคือคุณต้องเข้าใจ พระเจ้ามีสามัญสำนึกมากมายเหมือนเช่นที่เรามี แล้วท่านก็สนใจแต่แสงสว่างอย่างที่เราเป็น ซึ่งจะทำให้งานของพระองค์สำเร็จไปด้วยดี คนที่ป่วยสามารถรักษาได้ในหนึ่งวินาที คุณจะประหลาดใจแม่จะบอกให้

ประธานาธิบดีของอินเดีย เขาไปรักษาที่อเมริกา แต่ก็ไม่ได้ผล แล้วต้องกลับอินเดียมา แล้วแม่ก็ไปเยี่ยมท่านฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ตัวแทนของท่านบอกท่านว่า แม่ก็ไม่ได้เจาะจงอะไร แต่ท่านเคยได้ยินชื่อแม่ในอินเดีย ภรรยาของเขาพูดว่า “ทำไมท่านไม่รักษาสามีของฉัน?” และเขาก็อยู่ในช่วงวาระสุดท้าย พวกเขาเตรียมทุกอย่างสำหรับพิธีสุดท้ายในอินเดีย แม่วางมือของแม่ไปที่หลังเขา ประมาณสิบนาที คุณจะไม่เชื่อ เพราะความเจ็บปวดนี้ทำให้เขาไม่ได้นอนมาหลายวัน เขาบอกว่า “ความเจ็บหายไปแล้ว ผมต้องการนอน” เขาลุกขึ้น หายดี แต่เขาเดินลงมา คนเตรียมเปลหามเอาไว้ให้ แต่เขาเดินลงมา พวกเขาไม่เชื่อสายตาตัวเอง สิ่งนี้เกิดขึ้นก็เพราะเขากำลังจะทำงานของพระเจ้า

ในบ้านถ้าคุณมีดวงไฟที่ไม่เคยให้แสงสว่าง เราไม่สนใจพวกมัน เราก็จะขายมันเป็นเศษขยะ ในทำนองเดียวกัน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่รักษาคนทั้งหมด รักษาเป็นพันๆ คน แต่บางคนที่ป่วยหนัก ท่านว่า “เอาหล่ะคุณควรไปวัฏจักรที่สอง” เอาหล่ะ กลับมาอย่างบริสุทธิ์ พักแล้วค่อยทำ ดังนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องรักษาทุกคน ไม่จำเป็นเลย แต่หลายคนได้รับการรักษาแล้วก็ได้ผล

แต่นั่นไม่ใช่งานหลัก, การรักษาคนไม่ใช่งานหลัก งานหลักคือการมอบการตระหนักรู้ให้ผู้คน และการรักษาเป็นผลพลอยได้ อย่างที่คุณบอก แน่นอนว่า ถ้าเธอได้รับการตระหนักรู้ อาการหูหนวกของเธอจะหายไป หลายคนได้รับการรักษาหูหนวก ไม่ใช่แค่หูหนวก แม้แต่ศีรษะล้าน คนก็จะมีผม เขาไม่มีเส้นผมเลยตอนที่เขามาหาแม่ แต่แม่ไม่พูด หลังการตระหนักรู้ และก่อนการตระหนักรู้ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ควรจะถ่ายรูปไว้ก่อนการตระหนักรู้ และดูตัวเอง และบางทีหลังการตระหนักรู้คนก็ดูรูปที่ถ่ายก่อนการตระหนักรู้ พวกเขาจะโยนมันทิ้ง มันจะแตกต่าง แต่เรื่องรักษาไม่ใช่เรื่องหลัก เรื่องหลักคือการตระหนักรู้ในตนเองและอายุก็ไม่ใช่ปัญหา เมื่อวาน คิดว่าน่าจะเป็นที่เบอร์มิ่งแฮม แม่มอบการตระหนักรู้ให้คนๆ หนึ่ง เป็นผู้ชายที่แก่มาก ดังนั้น อายุไม่ใช่สิ่งที่ต้องคำนึงถึง สุขภาพก็ไม่ใช่ ไม่ใช่อะไรอย่างนี้ ทุกๆ คนสามารถได้รับการตระหนักรู้และควรพยายามที่จะได้ ตกลงมั้ย? ถ้าคุณเอาแม่มาด้วย เราจะทำด้วยกัน แต่แม่ไม่สัญญาอะไรทั้งนั้น ตกลงมั้ย? ขอพระเจ้าคุ้มครองคุณ แน่นอนแม่ให้คำมั่นได้ในเรื่องการตระหนักรู้ ถ้าคุณอดทนกับตัวเองอย่างที่แม่อดทนกับคุณ คุณต้องมีความอดทน มีคำถามอื่นอีกไหม?

คำถาม : เขามีปัญหาที่หน้าอกในช่วงสี่ถึงห้าปีที่ผ่านมา มีทางใดบ้างที่ท่านจะช่วยเขา?
คุณแม่ศรีมาตาจี : แน่นอน ช่วยได้ ใช่ ปัญหาที่หน้าอก เช่นหายใจติดขัดหรืออะไร? ปัญหาการหายใจหรือไม่? เขาเป็นคนอินเดียใช่หรือไม่? หืดหอบ เขาเป็นคนอินเดียใช่ไหม? อา คนอินเดีย คุณรู้ไหม? พวกเขาอาบน้ำมากเกินไป ยังคิดว่าตัวเองอยู่อินเดีย ตอนเช้าอาบน้ำทุกวันแล้วก็ออกไปข้างนอก ใช่ไหม? ไม่ควรทำเช่นนั้น ที่นี่ประเทศอังกฤษ เราควรอาบน้ำตอนเย็น ควรใช้ชีวิตแบบคนอังกฤษ พวกเขาเป็นนักอาบน้ำตัวยง คนอินเดียเป็นนักอาบน้ำตัวยงเห็นหรือไม่? พวกเขาต้องอาบน้ำทุกวัน อากาศที่นี่ศูนย์องศาหรือลบสิบสององศา เขาต้องอาบน้ำ เห็นไหมมันเป็บรูปแบบนิสัยที่พวกเขามี พวกเขาจะรู้สึกไม่ดีถ้าไม่ได้อาบน้ำ และนั่นทำให้พวกเขาเป็นหอบหืด แต่อย่างไรก็ตาม เราจะรักษาโรคหอบหืดให้คุณ ตกลงมั้ย? มันไม่ยาก แต่เราไม่ควรอาบน้ำบ่อยในอังกฤษ แม่อยากแนะนำว่าถ้าอยากอาบน้ำให้อาบตอนเย็นเหมือนที่คนอังกฤษทำ เพราะเป็นสภาพอากาศไม่น่าไว้วางใจอย่างมาก และเวลาที่คุณอาบน้ำเสร็จแล้ว คุณก็มีปัญหาในช่องอกอย่างแน่นอน ตอนนี้ไม่เพียงแต่โรคนี้ แต่ยังมีโรคข้ออักเสบ และโรคแบบนี้ก็เกิดจากสาเหตุนี้ มันเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ในประเทศนี้กับอากาศที่คุณต้องระวัง

แม่หมายความว่าเราไม่ควรเลื่อนการอาบน้ำไปเรื่อยๆ เพราะเห็นไหม? เวลาที่แม่พูดอะไรบางอย่าง แม่ต้องให้ไปสุดโต่งในอีกทางด้วย แต่เราเป็นคนอาบน้ำตัวยง ไม่ต้องสงสัยเลย คนอินเดียมีสุขอนามัยส่วนตัวมากเกินไป มากเกินไป แต่ความสะอาดทั่วๆ ไป หรือคุณจะพูดได้ว่าความสะอาดส่วนรวม ที่นี่มีมากกว่า เห็นไหม? เช่นการตัดหญ้า ดูแลสนาม ความสะอาดของถนน และทุกอย่างดีกว่ามาก เราต้องผสมผสานสิ่งเหล่านี้มันสำคัญที่สามารถทำได้ เอาหล่ะ หืดหอบไม่ใช่ปัญหาถึงขนาดนั้น มีอะไรอีกไหม

คำถาม : แล้วจะทำอย่างไร
คุณแม่ศรีมาตาจี : เรามีศูนย์พลังอยู่ภายใน ศูนย์พลังของพระราม ในด้านขวา เราเรียกว่าหัวใจขวา ถ้าหากว่าพวกเราสามารถรักษาศูนย์พลังนั้นของคุณ คุณก็จะไม่เป็นอะไร ตกลงไหม? เราจะทำมันเราจะบอกคุณว่าทำอย่างไร

คำถาม : กี่พันปีมาแล้ว ที่โยคะเกิดขึ้น
คุณแม่ศรีมาตาจี : โยคะไหนที่คุณหมายถึง? โยคะที่เป็นธรรมชาติ โยคะที่เป็นอย่างนั้นมาตลอด เห็นไหม สิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติมีชีวิต และขบวนการของสิ่งมีชีวิตก็อยู่อย่างนั้นมาโดยตลอด ดังนั้น เราพูดไม่ได้ว่ามันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ เราพูดได้ว่าเมื่อมันเกิดการแยกออก เมื่อพระเจ้าแยกออกจากพลังของท่าน และพระเจ้าเริ่มเฝ้ามองทุกสิ่งอย่างเป็นพยาน พระเจ้าและพลังศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เริ่มทำงานสร้างทั้งจักรวาล สร้างจักรวาลออกมา จากนั้นจึงสร้างมนุษย์ และตอนนี้ ต้องเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้งที่ผู้ถูกสร้างต้องรู้จักผู้สร้าง

๑-๒-๓-๔ มักจะมีไม่กี่คนที่ได้การเชื่อมต่อนี้ แต่วันนี้คือเวลาสำหรับการวิวัฒนาการในระดับฝูงชน จนถึงทุกวันนี้การเติบโตของชีวิตคุณไม่สามารถบอกว่าตอนไหน บอกไม่ได้ว่ามันเริ่มเมื่อไหร่ กี่ปีที่เกิดขึ้นมา แต่วันนี้ เป็นช่วงเวลาแห่งความผลิบาน เมื่อหลายคนได้รับพรจากโยคะ “เข้าใจนะ” ขอบคุณ

คำถาม : ท่านพูดถึงกุณฑาลินี สำหรับคนธรรมดามันยากมากที่จะทำให้กุณฑาลินีตื่นขึ้น
คุณแม่ศรีมาตาจี : อา ใครบอกคุณอย่างนั้น? มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย เห็นไหม คนไม่ปกติพวกนี้ เวลาที่เขาพูดถึงกุณฑาลินี เขาจะบอกว่ามันไม่ปกติ เพราะว่าพวกเขาไม่รู้วิธีปลุกพลังนี้ มันเป็นสิ่งที่ทำง่ายที่สุด มันเป็นสิ่งที่ทำง่ายที่สุด ถ้าคุณเป็นบุคคลที่ตื่นแล้ว แม้แต่เด็กก็ทำได้ คนที่บอกว่ากุณฑาลินีเป็นเรื่องยาก คือคนที่ไม่มีความรู้เรื่อง กุณฑาลินี พวกเขาไม่ใช่ครู อะไรจะเป็นเรื่องยากสำหรับครู? และแม้แต่คนธรรมดาก็สามารถเป็นครูได้ แล้วอะไรที่ยาก? คนเหล่านี้ไม่ใช่ครู คนเหล่านี้ไม่รู้อะไรเลย พวกหาเงิน เป็นคนไม่มีประโยชน์ พวกเขาเขียนหนังสือโดยที่ไม่มีความรู้เรื่องกุณฑาลินีเลย พวกเขาแนะนำคนผิดๆ

มันเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด เคลื่อนไปด้วยมือของคุณ คุณจะเห็นว่ามันเคลื่อนขึ้นมา แล้วคุณจะรู้สึกว่ามีอาการเต้นที่ศีรษะ มันไม่ยากเลย แม่บอกคุณว่า มันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องเกิดขึ้น ทุกอย่างที่สำคัญต้องฟรีและง่าย คือสหจะ ทำไมคนอินเดียมีคุรุนานักที่กล่าวว่า “สหจะ สมาธิ ลาโก” ไม่มีใครบอกว่ายากเลย กบีระไม่เคยพูด ท่านกล่าวว่า (ภาษาฮินดี) “ข้าพเจ้าผูกคน ๒๕ คนด้วยกันแล้วมัดเขาให้เป็นหนึ่งเดียว”

นี่คือ คนที่มีสิทธิ์ที่มักจะพูดอย่างนั้น ไม่มีใครบอกว่ายาก มีแต่คนเหล่านี้ที่ไม่รู้งาน คนที่ไม่ได้รับสิทธิ์มักจะพูดอย่างนั้น อย่าไปเชื่อพวกเขา มันเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดที่จะทำ คุณจะเห็นตัวเอง แต่ถ้ามันง่ายที่สุดแล้วทำไมคุณถึงปฏิเสธมันล่ะ? สมมุติว่าแม่ให้เพชรคุณฟรีๆ คุณจะไม่ดูจะไม่รับมันไปหรือ? หรือเรากำลังรู้สึกว่า “โอ้ มันยาก จะทำได้อย่างไร?” เมื่อแม่พูดว่ามันง่ายคุณไม่ต้องจ่ายเงินซื้อ “ตกลงไหม?”

อะไรนะ?

ไม่ นั่นถูกต้อง นั่งลง นั่งลง เอาหล่ะ เอาหล่ะ โปรดนั่งลงแม่จะบอกคุณ

นั่นคือวิธีที่คนพยายามทำ แล้ววิธีนั้นก็ไม่ได้ผล สมมุติว่า มีบางอย่างเกิดขึ้นกับรถของคุณ แล้วตอนนี้ คุณสามารถล้างมันขณะที่คุณนั่งอยู่ข้างในได้ไหม? คุณจะทำให้มันปกติได้หรือ? คุณต้องออกมาจากรถ ดังนั้นสิ่งแรกคือ การขึ้นของกุณฑาลินี เห็นไหม ผู้คนสับสนกับทุกอย่าง แม้แต่หฐโยคะที่มีอัษฎางคะ สิ่งแรกนี่คือ อีศวรประณิธาน (Ishwar Pranidhan) ก่อนอื่น คุณต้องสถาปนาพระเจ้าขึ้น (เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง) สิ่งแรกคุณต้องเชื่อมต่อกับพระเจ้าก่อน

แม้แต่คริสเตียนคุณต้องทำศีลจุ่มก่อน แน่นอนว่ามันเป็นแค่เปลือกนอก ขอให้ลืมไปเลย แต่คุณต้องมีศีลจุ่ม แม้แต่ฮินดูก็ทำคล้ายกับคริสเตียน ที่เรียกว่าพิธียัชโญปวีต (โกนจุก) ตอนอายุแปดปี นั่นคือการตระหนักรู้ หรือมุฮัมมัดซาฮิบและบุคคลเหล่านี้ใช้สุมตา (Sumta) (อิสระจากความคิดและสติรู้) คือสิ่งเดียวกัน ดังนั้นสิ่งแรกคือรับการตระหนักรู้ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะกลายเป็นคุรุ แต่การตื่นขึ้นของกุณฑาลินี แล้วด้วยการเติบโตของกุณฑาลินี คุณจะกลายเป็นคุรุ นี่คือขบวนการที่แท้จริง แต่พวกเขากลับทำแบบกลับตาลปัตร แล้วคุณสามารถชำระล้างตัวเองได้อย่างไร? หากคุณไม่ได้ออกจากตัวเอง สมมุติว่า ส่าหรีแม่มีรอยเปื้อน แม่ต้องถอดส่าหรีและทำความสะอาด ใช่ไหม?

และนั่นเป็นเหตุที่มันยากมาก มันเป็นอย่างนั้น มีความสับสนที่พวกเขาสร้างขึ้นมา และอย่าเชื่อเรื่องพวกนี้ หากคุณต้องการข่มอัตตาของคุณ มันจะนั่งอยู่บนศีรษะคุณ มันจะไม่ไปไหนเลย ถ้าคุณพยายามข่มเงื่อนไขของคุณ มันก็จะไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลย แต่ที่นี่มันจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แล้วจะเกิดขึ้นอย่างไร แม่จะบอกคุณพรุ่งนี้ ด้วยการตื่นของเทพเจ้าทั้งหลายในตัวคุณ สิ่งเหล่านี้จะซึมซับอยู่ภายใน กุณฑาลินีตื่นขึ้นและเป็นผู้กระทำ

ท้ายที่สุดถ้าคุณต้องการให้แม่สารภาพ มีบางอย่างพิเศษเกี่ยวกับตัวแม่ที่ทำให้แม่สามารถทำได้ ต้องมีอะไรบางอย่าง ถ้าคุณไม่เอาแม่ไปตรึงกางเขน แม่ก็ขอพูดเพียงเท่านั้น จะไม่พูดมากไปกว่านี้ คุณควรจะค้นพบเอง ไม่เช่นนั้นสิ่งแรกคือคุณจะจับแม่ตรึงกางเขน แม่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นแบบนั้นอีกแล้ว

ตกลงไหม? ขอพระเจ้าอวยพร

ว่าไง ลูก

คำถาม : คุณแม่ เราจะช่วยเหลือตัวเองและช่วยเหลือคนอื่นให้เปิดหัวใจและรวมกลุ่มกันให้มากขึ้นได้อย่างไร
คุณแม่ศรีมาตาจี : ไม่จำเป็นต้องใช้การผ่าตัดเลย ในสหจะโยคะเรามีเทคนิค เทคนิคศักดิ์สิทธิ์ด้วยการเปิดหัวใจของเรา ความสับสนก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง และความสับสนนี้นำเราไปสู่ปัญหา คุณเห็นไหมความสับสนนี้สืบเนื่องมาจากความสัมพันธ์ของเราควรจะเป็นอย่างไรกับตัวเรา, กับคนอื่น และสังคม มีความสับสนมากที่เกิดมานานแล้ว เมื่อคัมภีร์สมฤติ (Smritis) ได้ถูกเขียน หรือเราอาจกล่าวได้ว่าเมื่อเริ่มมีการฝึกปฏิบัติในศาสนา, มันกลายเป็นคนละเรื่อง เราเริ่มทำทุกอย่าง และนั่นทำให้เราสูญเสียความสามารถที่จะเปิดหัวใจและรวมเป็นหนึ่งกับกลุ่ม

ทัศนคติที่มองตนเองควรเป็นว่า เราควรจะพยายามทำให้ตัวเราสมบูรณ์แบบ มันเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสมาก แม่อยากจะบอกคุณ เมื่อแม่พยายามที่ทำให้สหจะโยคะสมบูรณ์แบบ แม่บีบบังคับตัวเองมาก แม่ใช้ร่างกายนี้ทำงาน และทุ่มเทพลังกาย ด้วยความอุตสาหะอดทนของแม่อย่างเต็มที่ แม่ก็ทำสำเร็จ โดยปกติ คนมักจะอดกลั้นไว้ “โอ้ คุณแม่ นี่มันมากเกินไป เราทนไม่ได้” คุณก็ได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว แต่คุณต้องบังคับตัวเองอย่างจริงจังเพื่อทำให้ตนเองสมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นวิธีที่เราควรทำกับตัวเราเอง และกับคนอื่นมันควรจะเป็นความสัมพันธ์ในอุดมคติ เหมือนตอนนี้, คุณมีพี่ชาย เขาเป็นพี่ชายคุณ – ก็ควรจะเป็นพี่ชายในอุดมคติ ถ้าเขาเป็นพ่อก็ควรจะเป็นพ่อในอุดมคติ แต่ความสับสนที่เกิด ยิ่งคุณมีการตระหนักรู้มากขึ้น คุณก็จะยิ่งอยู่ในระดับที่สูงมากขึ้น ความสับสนคือ ใครกันแน่ที่เป็นน้องสาวคุณ ใครคือแม่ของคุณ ใครเป็นพ่อของคุณ?

แล้วความสัมพันธ์ระหว่างสหจะโยคีก็เช่นกัน ก็จะสับสน คุณเป็นสหจะโยคี คุณเป็นปราชญ์ทุกคน คุณต้องเคารพซึ่งกันและกัน คุณเป็นปราชญ์ คุณพูดภาษาเดียวกัน คุณต้องรักกัน มันไม่ใช่เรื่องเหตุผล มันต้องเกิดขึ้นกับคุณ เพราะความสัมพันธ์นั้นต้องสถาปนาขึ้น ความสัมพันธ์นั้น ความสัมพันธ์ที่เป็นอุดมคติ

ดังนั้น คนหลายๆ คน ตอนนี้อย่างที่คุณรู้พวกเขาโกรธแม่ “คุณแม่ ท่านอดทนกับสหจะโยคีพวกนี้มากเกินไป” แต่พวกเขาเป็นลูกของแม่ แม่ต้องทำให้ตัวแม่มีความสมบูรณ์แบบ และความสัมพันธ์กับพวกเขาก็ต้องเป็นอุดมคติ แม่ต้องมีขอบเขตที่กว้างมากในการให้อภัยเพื่อที่จะให้เขาขึ้นมา ดังนั้น ความสัมพันธ์กับผู้อื่นควรจะเป็นอุดมคติด้วย คุณเป็นพ่อในอุดมคติหรือไม่? คุณเป็นแม่ในอุดมคติหรือไม่? คุณเป็นพี่น้องในอุดมคติหรือไม่? คุณเป็นพลเมืองในอุดมคติต่อผู้อื่นหรือไม่? แต่สังคมต้องทำให้ได้ในเชิงปฏิบัติด้วย สังคมก็ควรหาวิธีทำให้ปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม และการปฏิบัตินี้เกิดขึ้นได้โดยการเปลี่ยนแปลง

สมมุติว่าวันนี้แม่บอกว่าสำหรับอินเดีย เราไม่ต้องการมังสวิรัติ สำหรับอังกฤษ เราต้องการมังสวิรัติ ทุกอย่างเป็นไปตามความเหมาะสม สังคมก็ต้องปรับไปตามความเหมาะสม ณ ที่นี่เราดูความเหมาะสมตามสภาพของเรา ไม่เกี่ยวกับสังคม เราปรับให้เหมาะกับการปฏิบัติของตัวเราเอง ทุกๆ อย่างก็สำเร็จได้ “มีอะไรผิดหรือ?” ผู้หญิงที่มีลูกแล้วจะหนีตามชู้ “มันผิดตรงไหน?” หรือผู้หญิงมีลูกแล้วยังขายชาติได้ เพื่อผลประโยช์ของลูกเธอ “มันผิดตรงไหน?”

ดังนั้นความสับสนภายในตัวเรา คือตัวสร้างปัญหา และนั่นทำให้เราไม่สามารถเปิดตัวเองออก ถ้าเราสามารถขจัดความสับสนของเรา มันก็สามารถทำได้ โดยวิธีสหจะโยคะก็สามารถทำได้ ความสับสนทั้งหลายถูกสร้างโดยคนที่ศรัทธายังครึ่งๆ กลางๆ แม่จะพูดว่า อวตารไม่มีสิ่งใดผิด ศาสดาไม่มีสิ่งใดผิด พวกท่านเป็นผู้ที่สมบูรณ์แบบ ที่ผิดคือทัศนคติของเรา และถ้าเราสามารถใช้ทัศนคติของเรา แยกแยะถูกผิด ต่อตัวเรา ต่อตัวผู้อื่น และต่อสังคมได้ ทุกๆ อย่างก็จะสำเร็จผล มันก็จะสวยงาม

เพราะความสับสนนี้ทำให้หัวใจเราปิด เรากลัวคนอื่น มีอะไรต้องกลัว หากความสัมพันธ์เป็นแบบอุดมคติ? พวกเขาสามารถทำอะไรได้? ความสัมพันธ์ของคุณ, ตราบเท่าที่พวกเขามีความเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของคุณ, หัวใจของคุณเป็นอุดมคติ – อะไรก็ตามที่พวกเขาทำไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญ – ไม่ว่าอะไรที่แม่ทำให้พวกเขาต้องเป็นการให้ในลักษณะอุดมคติ แม่ต้องรักพวกเขา แม่ต้องชื่นชมพวกเขา ให้กำลังใจพวกเขา ช่วยเหลือคํ้าจุนพวกเขา และให้พวกเขาในสิ่งที่แม่ต้องให้เพื่อเป็นไปตามความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็น

ยกตัวอย่างเช่นแหล่งน้ำที่อยู่ใต้พระแม่ธรณี นํ้าคิดไหมว่าต้นไม้นี้เป็นต้นไม้ประเภทไหน? กำลังทำอะไร? แหล่งนํ้ามีหน้าที่ให้น้ำ ในทำนองเดียวกัน เพราะคุณเป็นแหล่งกำเนิด ดังนั้น ความสัมพันธ์ต้องเป็นแบบอุดมคติ ความสับสนเหล่านี้ได้รับการแก้ไข, ด้วยเหตุผลพวกเราได้ยอมรับความสับสนต่างๆ เหล่านี้ นี่คือสาเหตุที่นำเราเข้าไปติดกับดักประเภทนี้ ทำให้หัวใจของเราปิด เข้าใจนะ?

คำถาม : ขอให้ท่านช่วยอธิบายความแตกต่างระหว่างสหจะโยคะและกริยาโยคะ
คุณแม่ศรีมาตาจี : โอ้ เราอาจกล่าวได้ว่าเป็นอย่างเดียวกัน หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นคนละสิ่งที่ถูกเข้าใจว่าเป็นสิ่งเดียวกัน ตัวอย่างเช่น แม่สามารถกล่าวได้ว่า การตระหนักรู้ที่แท้จริงและพิธีศีลจุ่มที่แท้จริงนั้นคือการตื่นขึ้นของพลังกุณฑาลินีแต่ว่าก็ยังมีบาทหลวงที่ประกอบพิธีศีลจุ่ม (โดยไม่เกี่ยวข้องกับการตื่นขึ้นของพลังกุณฑาลินี) ให้กับผู้คนด้วยเช่นกัน ศีลจุ่มอันนี้และศีลจุ่มอันนั้นจึงเป็นสิ่งที่ถูกเข้าใจว่าเป็นสิ่งเดียวกัน ในทำนองเดียวกัน เมื่อพลังกุณฑาลินีตื่นขึ้น กริยาโยคะก็เกิดขึ้นภายในตัวของเรา บางสิ่งเข้าไปสู่สภาวะของ “กริยา” หรือการกระทำ การกระทำที่ว่าคือ เมื่อพลังกุณฑาลินีตื่นขึ้น นั่นคือพลังอันมหาศาลกำลังพุ่งสูงขึ้น และนี่คือเหตุการณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างกับสิ่งอื่นๆ ทั้งหมด ทั่วทั้งร่างกายได้เตรียมพร้อมเพื่อสิ่งนั้นแล้ว และเมื่อพลังนี้พุ่งสูงขึ้น คลื่นแห่งการกระทำบางอย่างเกิดขึ้นในร่างกาย เหมือนกับการเคลื่อนไหวแบบบีบรูดที่เกิดขึ้นในขณะย่อยอาหาร ในทำนองเดียวกัน เมื่อพลังกุณฑาลินีพุ่งสูงขึ้น กล้ามเนื้อบางส่วนหดตัวเพื่อให้กุณฑาลินีสามารถพุ่งขึ้นสูงไปได้เรื่อยๆ จากนั้นมันจึงพองตัวออก กล้ามเนื้อเปิดตัวออกแล้วก็หดตัว กระบวนการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติภายในตัวของเรา แบบเดียวกับเมื่อเราสตาร์ทรถ เครื่องยนต์ทุกชิ้นจึงเริ่มทำงาน ในทำนองเดียวกัน “กริยา” ได้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงในตัวของพวกเรา ดังนั้น “กริยา” จึงเกิดขึ้นภายในตัวเราในระบบของสหจะโยคะ ทุกสิ่งย่อมเป็นตัวเสริมให้กับสหจะโยคะ อันหมายถึง โยคะนั่นเอง แต่ปรากฏการณ์ทุกอย่างเหล่านี้เกิดขึ้นภายในตัวของพวกเรา

แต่ในทางตรงกันข้าม เรายังสามารถทำได้อีกวิธีหนึ่ง แม้จะไม่ได้สตาร์ทรถ แต่เราก็ยังทำให้ล้อหมุนได้ นั่นคือสิ่งที่ถูกเรียกว่า กริยาโยคะ ดังนั้น สิ่งนั้นจึงเป็นเพียงสิ่งที่ถูกเข้าใจว่าเป็นสิ่งเดียวกัน กริยาโยคะที่แท้จริงอันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและถูกสร้างไว้แล้วภายในตัวเรา คุณไม่ต้องทำสิ่งใด สิ่งนั้นได้ถูกสร้างไว้เพื่อตัวคุณแล้ว แม่เคยเห็นคนที่ถูกตัดลิ้น และลิ้นของพวกเขาก็แกว่งไปมา คนสูงอายุมากจำนวนหนึ่งในอินเดียถูกทำให้เป็นเช่นนี้โดยใครบางคนจากอเมริกา เขาเป็นคนที่น่ากลัวมาก พวกเขาถูกตัดลิ้น แล้วมันก็แกว่งไปมาแบบนี้ พวกเขาเป็นบุคคลที่ไร้ประโยชน์ มีหมอคนหนึ่งเป็นแบบนั้น หมอคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้แสวงหา ลองคิดดูว่าผู้แสวงหาถูกทำลายจนเป็นแบบนั้น แม่ถามว่า “ทำไม ทำไมคุณถึงทำแบบนี้”

เขาตอบว่า “พวกเรากำลังทำ เขจรี”

เขจรี คือสิ่งที่คุณต้องตัดลิ้นตัวเอง ใส่มันกลับเข้าและพยายามให้ปลายลิ้นสัมผัสกับส่วนในสุดของช่องปาก คุณนึกภาพออกไหม และมันถูกเรียกว่า Dawedi Raveni Pranayam สิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย สิ่งเหล่านี้ทำลายช่องทางเดินของพลังกุณฑาลินี แม่เคยเห็นกุณฑาลินีถูกทำร้ายและบาดเจ็บ ท่านเคลื่อนศีรษะไปทุกทิศทาง นี่คืออัตตาของมนุษย์ พวกเขาคิดว่า “ฉันทำสิ่งนี้ได้ และฉันจะทำมันให้ได้ ไม่ว่าจะต้องทำอะไรแบบใดก็ตาม” จงลืมเรื่องนี้

แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้เรียบง่ายมาก เหมือนกับดวงไฟที่จุดติดแล้ว เทียนที่ส่องสว่างแล้วย่อมจุดให้เทียนเล่มอื่นสว่างไสวได้ เป็นการทำงานที่เรียบง่ายอย่างมาก อย่าทำเรื่องแบบนี้กับตัวเอง ถ้าคุณเป็นผู้แสวงหาที่แท้จริง ขอให้ลืมเรื่องพวกนี้ไปเสีย อย่าทำลายตนเอง และพวกคุณก็ไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อทำลายตัวเองมาก่อน แต่พวกเขาทำเพราะว่าพวกเขาเป็นผู้แสวงหาที่เอาจริงเอาจัง อัตตาของเขาถูกปรนเปรอว่า “เธอทำสิ่งนั้นได้” แล้วพวกเขาก็ทำ

ในสหจะโยคะ คุณไม่ต้องทำสิ่งใดทั้งสิ้นจนกว่าคุณจะได้รับการตระหนักรู้ เหมือนกับคนที่ไม่รู้วิธีว่ายน้ำย่อมถูกสั่งว่า “อยู่เงียบๆ พวกเราจะพาไปที่ริมฝั่งทะเลเอง” แล้วพวกเขาก็ถูกพาไปที่ฝั่ง และได้รับการอบรมฝึกสอนวิธีว่ายน้ำ วิธีช่วยเหลือคนอื่น แล้วพวกเขาจึงไปช่วยเหลือผู้คน คุณไม่ต้องทำสิ่งใดจนกว่าคุณจะได้รับการตระหนักรู้ที่แท้จริงและมีความเชี่ยวชาญเสียก่อน ตราบใดที่คุณยังไม่กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ คุณก็จะยังไม่ต้องทำสิ่งใด คุณต้องกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญก่อน แทบจะไม่ต้องเสียเวลาเลยที่จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ แม้จะฟังดูดีเกินไปที่จะเชื่อ แต่นี่คือเรื่องจริง ทุกสิ่งที่สมบูรณ์แบบมีลักษณะเป็นแบบนั้น จริงไหม

(ไม่ได้ยินคำถาม)
คุณแม่ศรีมาตาจี : ใช่ ตอนนี้เป็นเรื่องรองเท้า แม้แต่ผู้คนที่นั่นก็มีข้อถกเถียงกับแม่เรื่องรองเท้า “ทำไมต้องรองเท้า” ดังนั้น แม่จึงควรให้คำอธิบาย มิเช่นนั้น พวกเขาจะลุกขึ้นยืนถามแม่อีกครั้ง “ทำไมต้องรองเท้า” เพราะว่ารองเท้า พวกเราระบุอัตลักษณ์ของตัวเองกับมันมาก รองเท้าทุกวันนี้ โดยเฉพาะในสมัยปัจจุบัน พวกเขาใช้วัสดุอื่นที่ไม่ใช่หนังแท้มาทำเป็นพื้นรองเท้า ซึ่งมันหุ้มเป็นฉนวนกันคุณไว้ ดังนั้น รองเท้าจึงแยกคุณให้ออกห่างจากพระแม่ธรณี และเพื่อจะขอความช่วยเหลือจากพระแม่ธรณี พวกเราต้องถอดรองเท้าออก แต่แม้เพียงแค่นี้ก็ทำให้ผู้คนหงุดหงิดได้ ดูสิ คุณนึกออกไหม แต่ถ้าขอให้พวกเขาตัดลิ้น พวกเขากลับไม่รังเกียจ พวกเขา (โยคีที่ทำโปรแกรม) ต้องการให้เป็นสหจะโดยสมบูรณ์ เมื่อเป็นแบบสหจะแล้ว ต้องเป็นสหจะอย่างถึงที่สุด นั่นคือเหตุผลที่พวกเราต้องถอดรองเท้า วิถีที่พวกเราเป็นช่างน่าสนใจจริงๆ นี่คือการละเล่น นี่คือความงดงาม โอเค ตอนนี้ขอให้พวกเราถอดรองเท้าออกและอยู่ในอารมณ์ที่รื่นเริง ไม่มีอะไรต้องจริงจัง ณ ตอนนี้

เพียงแค่ถอดรองเท้าออกเท่านั้น ตอนนี้ขอให้ยื่นมือมาที่แม่ แบบนี้ ทั้งสองมือ แล้วหลับตาลง โปรดอย่าลืมตา นี่คือสิ่งสำคัญ อีกครั้ง กริยาโยคะที่คุณได้พูดไว้ เมื่อกุณฑาลินีพุ่งขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อท่านสัมผัสกับศูนย์พลังตรงนี้ ศูนย์พลังนี้อยู่ตรงบริเวณส่วนไขว้ประสาทตา (Optic Chiasma) ลูกนัยน์ตาจะขยายตัวออก และนั่นคือเหตุผลที่หากคุณไม่หลับตา พลังจะพุ่งขึ้นไม่ได้ นี่เป็นสิ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับการสะกดจิต ดังนั้น ขอให้หลับตาลง และเมตตากับตัวเอง เมตตา อย่าตัดสินตัวเองโดยการคิดว่าตนเองมีความผิด นี่คือมนตร์บทแรกที่พวกเราใช้โดยเฉพาะกับชาวตะวันตก ที่ที่ดูเหมือนทุกคนจะรู้สึกไม่กับเรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ แต่ว่ามีการอุดตันที่นิ้วนี้ อย่างที่เขาบอก ดังนั้น ก่อนจะเริ่ม ขอให้กล่าวในใจว่า “คุณแม่ ข้าพเจ้าไม่มีความผิดใดๆ ทั้งสิ้น”

ไม่มีสิ่งใดที่ต้องรู้สึกผิด นอกจากนั้น คุณจะมีความผิดอะไรได้? ความผิดพลาดอะไรที่คุณเคยทำแล้วไม่อาจกลืนหายเข้าไปในความรักแห่งพระเป็นเจ้าได้? ดังนั้น ขอให้อย่ารู้สึกผิดกับสิ่งใดทั้งสิ้น บางที ในสิ่งที่แม่บรรยายไปนั้น แม่อาจพูดไปว่า การทำสิ่งนั้นไม่ดี สิ่งนี้ไม่ดี ไม่เป็นไร สำหรับแม่แล้วมันไม่ต่างกันหรอก ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ไหน แม่รู้ว่าจะต้องทำงานอย่างไร ดังนั้น ขอแค่อย่ารู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่พูดว่า “คุณแม่ ข้าพเจ้าไม่มีความผิดใดๆ” นี่คือสิ่งที่สำคัญมาก เพราะว่ามันขวางจักรวิชุดดีนี้ไว้ ด้วยความรู้ผิดนี้ คุณทำให้ตัวเองเกิดโรคกระดูกสันหลังอักเสบ (Spondylitis) บนฝั่งซ้าย รวมถึงปัญหาทุกชนิด ดังนั้น จึงควรที่จะพูดว่า “คุณแม่ ข้าพเจ้าไม่มีความผิดใดๆ” เป็นเรื่องที่เรียบง่าย “คุณแม่ ข้าพเจ้าไม่มีความผิดใดๆ”

ตอนนี้ขอให้หลับตา ขออย่ารู้สึกผิด ให้กล่าวซ้ำๆ ว่า “คุณแม่ ข้าพเจ้าไม่มีความผิดใดๆ” โปรดอย่าลืมตา กรุณาอย่าลืมตาขึ้นมา

ขอให้วางมือขวา อย่าลืมตา แล้ววางมือขวาลงบนหัวใจ ถามคำถามในหัวใจว่า “คุณแม่ ข้าพเจ้าคือจิตวิญญาณใช่หรือไม่?” ถามคำถามนี้ เป็นคำถามง่ายๆ แต่ว่าคำถามนี้จะหยั่งรากลึกลงในตัวของมันเอง เพียงแค่ถามคำถามด้วยความอ่อนน้อม “คุณแม่ ข้าพเจ้าคือจิตวิญญาณใช่หรือไม่?” ขอให้พูดทั้งหมด ๑๒ ครั้ง

คำตอบจะมอบลมเย็นอันแผ่วเบาให้ไหลผ่านมือของคุณ (คุณแม่เป่าลม ๓ ครั้งลงไปในไมโครโฟน)

ตอนนี้ขอให้วางมือลงไปบนกระหม่อม ส่วนบนสุดของศีรษะ บริเวณที่เรียกว่า Fontanel Bone ตรงที่เคยเป็นกระดูกอ่อนตอนที่คุณยังเป็นเด็ก ลองดูว่ามีลมเย็นพุ่งออกมาหรือไม่ คุณอาจจะถามคำถามกับแม่ เพราะแม่ไม่สามารถบังคับให้คุณได้ คุณต้องร้องขอเอง คุณต้องร้องขอการตระหนักรู้ในตัวเอง โดยกล่าวว่า “คุณแม่ โปรดมอบการตระหนักรู้ในตนเองให้กับข้าพเจ้า” แม่ไม่สามารถบังคับให้คุณได้ อิสรภาพของคุณต้องได้รับการเคารพ หากคุณต้องการลงสู่ที่ต่ำ คุณก็สามารถไปได้ หากคุณต้องการไปสวรรค์ ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น ขอให้ร้องขอการตระหนักรู้จากแม่ จริงๆ แล้ว แม่ไม่ใช่คนที่มอบให้ แต่ว่ากระบวนการการทำงานมันเป็นแบบนั้น