Shri Mahalakshmi Puja, Ganesha Tattwa

Kolhapur (India)

Feedback
Share
Upload transcript or translation for this talk

มหาลักษมีบูชา
โกลฮะปูร
๑ มกราคม ค.ศ. ๑๙๘๓ (พ.ศ. ๒๕๒๖)

วันนี้ วันปีใหม่มาเยือนอีกครั้งหนึ่งแล้ว เหตุที่ปีใหม่ทุกๆ ปีมาเยือนเรา ก็เพราะเราจะต้องเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ อย่างเช่นดวงอาทิตย์ได้ถูกจัดสรรมาให้เคลื่อนไปครบ ๓๖๕ วัน หลังจากนั้นก็เป็นรอบปีใหม่อีกครั้ง อันที่จริงระบบสุริยจักรวาลของเราทั้งหมดมีการเคลื่อนไหวเป็นเกลียว (spiral) ดังนั้น ระบบสุริยจักรวาลของเราจึงเคลื่อนไหวในลักษณะที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ปี โดยจะหมุนสูงขึ้นในลักษณะเป็นเกลียว ไม่เพียงแต่เท่านั้น ในระดับของสติรับรู้ (awareness) ของมนุษย์ทั้งหลายต่างก็พัฒนาสูงขึ้นกว่าที่เคยเป็นในอดีตถ้าเปรียบเทียบกับเมื่อ ๒๐๐๐ ปีที่ผ่านมา โดยระบบที่เป็นจุดเริ่มของจักรวาลทั้งหมดเป็นต้นแบบชิ้นแรกที่ถูกสร้างขึ้นมา “ต้นแบบ” อันนี้จะต้องถูกทำให้สมบูรณ์ โดยเมื่อต้นแบบสมบูรณ์แล้วก็จะสามารถสร้างความสมบูรณ์แบบให้กับสิ่งที่เหลือต่อไปได้ ดังนั้น นี่คือต้นแบบที่สมบูรณ์ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการพัฒนาให้ก้าวสูงขึ้นไปและนี่ก็คือระบบที่จะทำให้เกิดวิวัฒนาการขึ้นสูง (ascent) ทั้งนี้จักรวาลส่วนที่เหลือจะมีการพัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์แบบในหลายทิศหลายทางด้วยกัน

ในวันนี้เราจะต้องมาพิจารณาหลักการของมหาลักษมี อย่างที่แม่ได้เคยบอกคุณแล้วว่า “มหาลักษมี” คือหลักการที่สมบูรณ์แบบ เป็นหลักการที่สมบูรณ์แบบ สมบูรณ์จริงๆ เป็นหลักการที่สมบูรณ์แบบตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว และก็จะยังมีความสมบูรณ์ต่อไป จะมีความสมบูรณ์ชั่วกัลปาวสาน ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องแก้ไขหลักการนี้ ประเด็นเกี่ยวกับ “มหาลักษมี” ที่แม่กำลังพูดถึงจะเชื่อมโยงกับการที่พวกคุณอาจจะได้ไปเยี่ยมชมวิหารของมหาลักษมีในวันนี้ เมื่อคุณไปถึงวิหารมหาลักษมี คุณจะต้องทราบว่า เทวีพระองค์นี้ท่านผุดขึ้นมาจากพระแม่ธรณี ณ สถานที่พิเศษแห่งนี้ หมายความว่า สถานที่แห่งนี้มีคุณสมบัติที่จะให้พลังอำนาจ (force) แก่พวกคุณ อาจกล่าวได้ว่า เป็นพลังอำนาจที่เพิ่มขึ้นมาก หรือพลังอำนาจที่จะทำให้รู้สึกได้อย่างเข้มข้นชัดเจนถึงการวิวัฒนาการ ถ้าหากคุณมีความรู้สึกที่ไวพอ คุณก็จะรู้สึกได้ และคุณก็จะทำได้ แต่ถ้าหากประสาทสัมผัสของคุณไม่ไวพอ หรือยังคงอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่างๆ และยังคงใส่ใจแต่สิ่งภายนอก คุณก็อาจจะไม่ได้รับพลังนั้น แม่หมายความว่า หลายๆ อย่างสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ แต่หากในกรณีของคนที่ต้องการทำตัวเป็นเหมือนก้อนหิน คุณก็จะช่วยอะไรเขาไม่ได้

หลักการของมหาลักษมี ทำงานอยู่ ณ โกลฮะปุระ (Kolhapur) ปกติแล้ว ด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ โกลฮะปุระจะต้องเป็นเมืองที่มีอุณหภูมิร้อนจัดมากๆ แต่ขนาดตอนหน้าร้อน โกลฮะปุระก็ยังมีอุณหภูมิที่เย็นมาก เพราะว่าได้รับไวเบรชั่นที่ส่งออกมาจากวิหารแห่งนี้ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ อาจจะไม่ทราบเรื่องดังกล่าว เราบอกไม่ได้ว่าพวกเขารู้หรือไม่ เพราะในบริเวณนี้มีพลังที่ไม่ดีซ้อนอยู่ด้วย มีโรงงานน้ำตาลหลายแห่ง และผู้คนที่นี่นิยมดื่มสุราเมามาย แต่เราก็จะต้องใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดจากสถานที่ทุกแห่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างเป็นการเฉพาะ การที่เราได้มาที่นี่ก็เป็นการแสวงบุญอย่างหนึ่ง เป็นการทำให้เราจะต้องดูแลรักษาหลักการมหาลักษมี อันเป็นพื้นฐานในการก้าวขึ้นสูงทางจิตวิญญาณของเรา อย่างที่พวกคุณทราบแล้วว่า การก้าวขึ้นสูงทางจิตวิญญาณ (ascent) จะเริ่มขึ้นจากจักรนาภี ซึ่งล้อมรอบโดยหลักการของคุรุ (Guru Principle) อีกทีหนึ่ง

ในเรื่องหลักการของคุรุที่อยู่ภายในของเรานั้น หากได้รับความกระทบกระเทือนเสียหาย หรือหากหลักการนี้ถูกต่อต้านครอบงำจนกระทั่งหลักการนี้ไม่สามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตัวเราลึกลงไปถึงระบบประสาทได้ หากหลักการของคุรุไม่สามารถแสดงออกมาผ่านบุคลิกภาพและพฤติกรรมของเราได้ “มหาลักษมีตัตวะ” ก็จะพัฒนามั่นคงขึ้นไม่ได้เช่นกัน มหาลักษมีตัตวะจะถูกทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยหลักการของคุรุ วันนี้พวกคุณโชคดีที่เรามีวันเกิดของทัตตา (Dutta) ซึ่งเราได้ทำพิธีบูชาทัตตาเตรยะไปเมื่อวันก่อน และมาวันนี้ เราก็มีโอกาสได้จัดพิธีบูชามหาลักษมี การจะพัฒนาหลักการของคุรุให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ครบถ้วน เราจะต้องทำให้ธรรมะของเราถูกต้องก่อน ธรรมะเหล่านี้ อย่างที่แม่ได้เคยบอกพวกคุณหลายครั้งหลายหนแล้วว่ามีด้วยกัน ๑๐ ประการ และเราจะต้องดูแลเอาใจใส่ธรรมะทั้งสิบเหล่านี้ด้วยความระมัดระวังยิ่ง แม้ว่าธรรมะเหล่านี้จะถูกแสดงออกมาภายนอก และสิ่งใดก็ตามที่อยู่ภายในก็จะปรากฎออกมาภายนอกด้วย แม่พบว่าเวลาพวกคุณพูดจากัน แม่จะดูออกอย่างชัดเจนว่าใครเป็นคนไม่ดี (negative) และใครเป็นคนดี (positive) การแสดงออกถึงความดีทำได้หลายวิธี แต่แม่บอกพวกคุณไม่ได้ว่าแม่รู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร เพราะแม่ไม่รู้จะบอกคุณได้อย่างไรดี แต่แม่รู้ก็แล้วกันอย่างชัดเจนเลยว่าคนแบบนี้ดี คนแบบนี้ไม่ดี ความดี (positivity) เกิดขึ้นได้จากการเข้าใจว่า ทำไมเราจึงอยู่ที่นี่? อย่างแรกเลยคือ ทำไมเราจึงมาอยู่บนโลกใบนี้ ทำไมเราเกิดมาเป็นมนุษย์? เมื่อเข้าใจแล้วเราจะทำอย่างไรกับมัน? ทำไมเราจึงเป็นสหจะโยคี? สหจะโยคีมีหน้าที่ต้องทำอย่างไรบ้าง? อะไรเป็นความรับผิดชอบของสหจะโยคี? ทำไมข้าพเจ้าจึงเป็นหนึ่งในจำนวนคนน้อยนิดที่ได้รับพรอันพิเศษ และได้รับความรู้อันพิเศษยิ่งเกี่ยวกับสติรู้ที่รับรู้ได้ถึงพลังไวเบรชั่น? จากนั้นก็ต้องถามตนเองว่า เราจะทำอย่างไรกับสิ่งพิเศษที่ได้มา? เรายังคงยึดเกาะอยู่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง กับนิสัยแบบเด็กๆ กับความเขลาเบาปัญญา กับความก้าวร้าว รุนแรงของตัวเราเองหรือไม่? ที่ผ่านมาเรามักจะเห็นสิ่งเหล่านี้ในตัวคนอื่น ไม่ใช่ในตัวเราเอง ดังนั้นเราจึงไม่ใช่สหจะโยคี

เราจะต้องเข้าใจว่า เมื่อใดที่เราเริ่มมองเห็นสิ่งไม่ดีในตัวผู้อื่น เมื่อนั้นเราไม่ใช่สหจะโยคี เราควรจะมองดูตนเอง และพยายามแผ่ขยายกระแสความเมตตากรุณาให้แก่ผู้อื่น แต่มนุษย์ทั่วไปมักจะมองแต่ด้านลบของผู้อื่น ไม่ว่าแม่จะพยายามบอกอย่างไรพวกเขาก็ยังมองเห็นเฉพาะข้อบกพร่องของคนอื่น แต่สมมุติว่ามีคนที่ไม่ดี (negative) อยู่ในกลุ่มของพวกเรา คุณไม่จำเป็นที่จะต้องมีความเมตตาต่อคนบุคคลผู้นั้น ในทางตรงกันข้ามควรจะอยู่ให้ห่างเอาไว้ พยายามให้คนๆ นั้นออกห่างเราให้มากที่สุด และไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวด้วย ทำเช่นนี้ได้ย่อมเป็นเครื่องบ่งบอกว่าคุณมีความเมตตาต่อตนเอง แม้ว่าจะไม่ใช่ต่อผู้อื่น ทางที่ดีพยายามอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับคนไม่ดี ถ้าคุณต้องการที่พัฒนาก้าวหน้าต่อไป คนๆ นั้นอาจจะเป็นพี่ชาย น้องชาย พี่สาว น้องสาว หรือใครก็ตาม พยายามอยู่ให้ห่างจากคนประเภทที่ไม่ดีเอาไว้ เพราะคนเหล่านี้จะก่อปัญหายุ่งยากมากมายตามมา แม่พยายามบอกคุณมาตลอดและได้ขอร้องคุณ แม้ว่าคุณจะได้กลายเป็นคุรุตัตวะแล้ว แต่บรรดาเงื่อนไขอุปาทานยังคงมีอิทธิพลทำให้คุณยังไม่สามารถเข้าใจว่าคุณต้องปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นให้ได้

สำหรับบุคคลที่เป็นคุรุ จะไม่มีพี่ชายน้องชายพี่สาวน้องสาว หรือความสัมพันธ์อื่นใดนอกจากความสัมพันธ์กับ “พระแม่ ” (Mother) เท่านั้น ไม่มีความสัมพันธ์ในแบบอื่น นี่คือหนึ่งในบรรดาหลักการที่เราจะต้องทำความเข้าใจ เป็นสิ่งที่แม่รู้สึกว่าพวกคุณต้องทำความเข้าใจ คำว่า “ความสัมพันธ์” (Relationship) ใช้กับ “พระแม่และสหจะโยคี” เท่านั้น ไม่ใช่กับความสัมพันธ์อื่นๆ ที่จะเข้ามาหาเราจะโดยผ่านสหจะโยคะหรืออื่นๆ ก็ตาม แม่จะต้องอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เพราะว่า เรื่องนี้จะทำให้มหาลักษมีตัตวะของเราบกพร่อง ทำให้เราหันเหไปเรื่องโน้นทีเรื่องนี้ที ในขณะที่มหาลักษมีตัตวะจะต้องเป็นพลังที่จะขับเคลื่อนให้เราขึ้นสูงต่อไป เราต้องรวมพลังนี้ไว้ด้วยกัน เหมือนกับที่คุณพ่อของแม่เคยยกตัวอย่างว่า หากเราสะสมเมล็ดข้าวสาลีไว้เยอะๆ แล้วก็หว่านเมล็ดลงดิน มันก็จะกระจายหายไปหมด มันจะกระจัดกระจายอยู่ที่โน่นที่นี่ สลายหายไปในพื้นแผ่นดิน แต่ถ้าคุณนำเมล็ดข้าวมาใส่ถุง เมล็ดข้าวก็จะรวมตัวกัน และขยับความสูงมากขึ้นอยู่ในถุง เมล็ดข้าวจะมีมารยาทและมันจะค่อยๆ เติบโตสูงขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ เฉกเช่นเดียวกับหลักการของมหาลักษมีซึ่งอาจจะสามารถแผ่กระจายไปในทางกว้างแบบเดียวกันนั้น แต่ก็จะเป็นการทำลายสิ่งที่ “พระแม่” ได้มอบให้กับพวกเรา และเป็นการทำลายสิ่งต่างๆ ที่เราได้สะสมมานับปี โดยการแผ่ขยายออกไปด้านข้าง การสะสมเมล็ดข้าวไว้ภายใน ก็คือการนำสติมาอยู่กับตนเอง ขั้นแรกเลยพยายามทำความคิดของคุณให้กระจ่างแจ้ง ความเข้าใจต่างๆ ซึ่งอยู่ในสมองของคุณเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะมหาลักษมีตัตวะจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบก็คือในสมองของเรา การให้การรู้แจ้งแก่สมองเป็นหน้าที่ของมหาลักษมีตัตวะ มหาลักษมีตัตวะคือพลังที่ทำให้คุณสามารถเข้าถึงสัจธรรม (Sat-Truth) ดังนั้น คุณต้องทำสมองคุณให้กระจ่างแจ้ง ในระดับของตรรกะ คุณจะต้องเข้าถึงข้อสรุปที่ว่า “ข้าพเจ้าจะต้องไม่ทำสิ่งเหล่านี้ ข้าพเจ้าจะต้องทำสิ่งนี้ ข้าพเจ้าจะต้องพัฒนาก้าวขึ้นสูงในทางจิตวิญญาณ” นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าพเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรต่อไป? คุณต้องใช้ระบบตรรกะ ชักจูงสมองของคุณ เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งโดยเฉพาะเมื่อคุณได้รับการตระหนักรู้แล้ว เพราะถ้าหากสมองของคุณยังไม่ยอมเข้าใจ สมองของคุณก็จะคิดแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องแบบเด็กๆ เรื่องที่ขาดความสง่างาม หรืออาจจะเป็นเรื่องที่ร้ายกาจ กดขี่ข่มเหงผู้อื่นก็ยังได้

คุรุตัตวะมีคุณสมบัติ ๑๐ ประการ ในจำนวนนี้มี ๕ เรื่อง ซึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับ “ความหนักแน่น” (Weight) “คุรุ” หมายถึง “ความหนักแน่น” ความหนักแน่นของบุคคลคนนั้น ขณะนี้คุณมีความหนักแน่นมากน้อยเพียงใด? สิ่งที่เราเรียกว่า “ความหนักแน่น” (gravity) มนุษย์เราจะต้องมีความหนักแน่น เมื่อคนๆ นั้นพูดจาเขามีความสมดุลมากน้อยเพียงใด ลองดูดนตรีของอินเดียก็ได้ เราเรียกดนตรีว่า Vazan (วะซัน) แปลว่าน้ำหนัก “น้ำหนัก” ของบุคคล หมายถึงเมื่อบุคคลคนนั้นมีปฏิสัมพันธ์กับตนเองและผู้อื่น เขามีความหนักแน่นอยู่ในตัวมากน้อยแค่ไหน ในภาษาอังกฤษก็มีการใช้คำว่า “น้ำหนัก” หรือ weight เช่นกัน ในภาษาอังกฤษเวลาพูดว่า คนๆ นี้มี “น้ำหนัก” สำหรับผู้อื่นแค่ไหน (How much weight he carries with others?) ก็จะหมายความว่า คนๆ นี้สามารถสร้างความประทับใจให้บุคคลอื่นได้มากน้อยเพียงใด ถ้าเราเองก็รู้สึกประทับใจกับคนผู้นั้น คนผู้นั้นก็จะบอกว่า “พูดเกินไป” นี่คือคุณสมบัติที่ยิ่งใหญ่ของคนตะวันตก พวกเขาทราบว่าสิ่งนี้คือเรื่องของอัตตา ถ้าพวกเรายกย่องเขาจนเกินไป พวกเขาก็จะบอกว่า “ยกย่องกันเกินไปแล้ว” มากไปสำหรับผม (ดิฉัน) นี่คือปฏิกิริยาที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นคุณสมบัติของคุรุประการแรกคือ ความหนักแน่น ส่วนคุณสมบัติประการที่สองก็คือ การเป็นแม่เหล็กดึงดูด (magnetic) สองสิ่ง ความหนักแน่น และการมีพลังดึงดูด
ประการแรก “คุณสมบัติของความหนักแน่น” ก็คือคุณดูน่าเคารพนับถือเพียงใดเวลาที่คุณพูดจา คุณใช้ภาษาอย่างไร พฤติกรรมคุณเป็นอย่างไร แต่แม้กระทั่งกับแม่เองบางทีพวกคุณก็ยังมีพฤติกรรมแปลกๆ แม่ไม่เข้าใจทำไมไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไรก็พูดผิดทุกที ขนาดเพียงจะพูดแค่ประโยคเดียว ก็ยังพูดในสิ่งที่ผิด ความไม่ถูกต้องดังกล่าว ฝังอยู่ในตัวเขาเอง อยู่ในจักรวิชุดดี อยู่ในจักรนาภี ที่แม่บอกว่าเช่นนี้ก็เพราะว่า จักรวิชุดดีนั้น เป็นจุดเริ่มแห่งพลังวิวัฒนาการ (ascent) ของจักรนาภี ดังนั้น สิ่งที่คนๆ นั้นเป็นในส่วนลึกจริงๆ จะแสดงออกมาทางภาษาของเขา พฤติกรรมของเขา ผ่านทางสีหน้า จมูก ตา ทุกๆ สิ่ง รวมทั้งแสดงออกผ่านจักรวิชุดดีด้วย วิวัฒนาการของนาภีจะแสดงออกมาผ่านจักรวิชุดดี สิ่งใดก็ตามที่คุณมีอยู่ในระดับของนาภี จะแสดงออกมาที่วิชุดดี สมมุติว่าบุคคลคนหนึ่ง มีหลักการลักษมีตัตวะพัฒนาขึ้นอย่างถูกต้อง คนๆ นั้นจะมีวิธีในการที่จะแสดงออกหรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยเขาจะมีน้ำหนัก รวมทั้งมีความ”เข้าใจ” ว่าจะใช้วิธีการใดกับผู้อื่น จะจัดการความสัมพันธ์กับผู้อื่นโดยวิธีการใด มากน้อยแค่ไหน จะพูดกับคนนี้แค่ไหน จะคิดเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด จะให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นสิ่งนี้เท่าใด ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญมากๆ

ประการที่สอง “คุณมีพลังดึงดูด (magnetism) มากน้อยเพียงใด? เกี่ยวกับเรื่องนี้คุณต้องหันกลับมาดูตนเอง “พลังดึงดูด” เป็นของวิเศษ เป็นพลังวิเศษ (magic) ของบุคคลนั้นๆ ใครก็ตามที่มีพลังดึงดูดจะมีได้ก็เพราะเขามีพลังพิเศษบางอย่าง พลังวิเศษอันนี้มาจากบุคลิกภาพของตัวเราเอง มาจากบุคลิกภาพของเรา รากฐานของพลังดึงดูดเริ่มต้นทางฝั่งซ้ายและมีรากฐานมาจากศรีคเณศ ศรีคเณศเป็นรากฐานของพลังดึงดูด ดังนั้นความบริสุทธิ์ของคุณ คือหนทางที่ดีที่สุดในการเข้าถึงพลังดึงดูดนั้น คุณไม่สามารถอธิบายพลังดึงดูดได้จากมุมมองเชิงวัตถุนิยม มันไม่ใช่เรื่องของวัตถุ แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่เป็นนามธรรม อันเกิดจากคุณสมบัติของศรีคเณศ เมื่อเราเห็นใครสักคนหนึ่งมีพลังดึงดูด การมีพลังดึงดูดหมายถึงคนๆ นั้น สามารถดึงดูดผู้อื่นด้วยน้ำหนักของตน ด้วยคุณสมบัติของตนเอง การที่คนๆ นั้นสามารถมีพลังดึงดูดผู้อื่น มิใช่ดึงดูดผู้อื่นด้วยกิเลส ตัณหา หรือเรื่องไร้สาระอื่นใด ทว่าเป็นการดึงดูดผู้อื่นด้วยกลิ่นหอม (fragrance) ของพลังแห่งความรักที่มีต่อเรื่องนั้นๆ ประเด็นนี้มักจะทำให้เราสับสน ที่สับสนก็เพราะมันเป็นนามธรรมจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ก็ต้องใช้ความละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง

อะไรคือ “พลังดึงดูด” (magnetism) ที่แม่กำลังพูดถึง นี้คือเรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจ มีกริยาท่าทางบางอย่างที่มนุษย์ทำแบบเสแสร้ง จอมปลอม เพื่อใช้ดึงดูดผู้อื่น อย่างเช่นวิธีการเดิน การแต่งตัว การใช้ชีวิต สิ่งเหล่านี้หาประโยชน์อันใดมิได้ “พลังดึงดูด” เป็นสิ่งที่เกิดจากภายในเป็นกลิ่นหอมที่ส่งออกมาจากสภาวะภายในที่เราจะต้องพัฒนาให้เกิดขึ้น แต่ที่แม่เห็นในสหจะโยคะ โยคีกลับไม่ใส่ใจเรื่องนี้ ไม่ใส่ใจเอาเลย พวกเขาพากันคิดถึงแต่วิถีชีวิตแบบที่ตนเองเคยดำเนินอยู่ อย่างเช่นถ้าเป็นคนอังกฤษ ก็คิดถึงวิถีชีวิตแบบอังกฤษ ถ้าเป็นคนฝรั่งเศส ก็คิดถึงวิถีชีวิตแบบฝรั่งเศส ถ้าเป็นคนอินเดีย ก็คิดถึงวิถีชีวิตแบบอินเดีย ถ้ามาจากโกลฮะปุระ เขาก็คิดถึงวิถีแบบของชาวโกลฮะปุระ เราต้องขจัดแนวคิดแบบนี้ เพราะกลิ่นหอมแบบที่แม่พูดถึงสามารถส่งกลิ่นกระจายแผ่ขยายไปได้ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าคุณจะเป็นชาวอังกฤษ หรือจะเป็นใครก็ตาม ดังนั้นกลิ่นหอมของเราจะพัฒนาขึ้นได้ก็ด้วยการมีคุณสมบัติของศรีคเณศอยู่ภายใน คเณศตัตวะจะต้องปรากฎให้เห็นก่อน คนที่มีคุณสมบัติของศรีคเณศจะไม่ใช่คนประเภทที่มานั่งเสียอกเสียใจกับอดีต หรือไม่ใช่บุคคลที่เกินจะแก้ไขเยียวยา ขนาดจะทุบจะตีจะฉีกให้เป็นชิ้นๆ อย่างไรก็ไม่สะทกสะท้านทั้งสิ้น จะต้องไม่ใช่คนประเภทนี้ ในทางตรงกันข้าม คุณสมบัติของพลังดึงดูดจะเข้มข้นถึงขนาดที่ทำให้คุณรู้สึกว่าคุณไม่ถูกรบกวนโดยสิ่งใด (not disturbed) ทั้งสิ้น จุดสำคัญที่เราควรจะต้องรับทราบไว้อีกเรื่องหนึ่ง คือ ถ้าหากคุณมีความรักต่อผู้อื่น เป็นความรักแบบดาษดื่นทั่วไปแบบที่มนุษย์ทั้งหลายมีกัน ความรักเช่นนั้นก็สามารถดึงดูดผู้อื่นได้ แต่คนผู้นั้นสามารถทำลายคุณ และความรักประเภทนี้ก็สามารถทำลายตัวคุณเองได้ตลอดเวลา แต่ “พลังดึงดูด” แบบที่แม่พูดถึงจะไม่มีวันทำลาย จะไม่ทำลาย พลังดึงดูดที่ว่านี้จะเกิดขึ้นในลักษณะที่คุณจะไม่ถูกทำลายเพราะคุณอยู่สูงกว่า คุณลึกซึ้งมากกว่า มีน้ำหนักกว่า ดังนั้นคุณจึงจะไม่มีทางถูกทำลายโดยคนที่คุณกำลังดึงดูด แม่เหล็กที่ยิ่งใหญ่กว่าก็จะสามารถดึงดูดแม่เหล็กที่เล็กกว่าอยู่เสมอ นี่คือสิ่งที่คุณควรเข้าใจ

พลังวิเศษ ความมีเสน่ห์บุคลิกภาพที่ดึงดูด (charisma) และสภาวะอารมณ์ที่ดึงดูดของคนเราเกิดมีขึ้นได้ก็ด้วย คเณศตัตวะ หรือความบริสุทธิ์ต้องมีขึ้นก่อน ปัจจัยประการที่สองที่จะทำให้เกิดพลังดึงดูดก็คือ การอุทิศตนและการทุ่มเท (dedication and devotion) ผู้ใดก็ตามที่อุทิศตนและทุ่มเทให้ “พระแม่” โดยไม่มีสิ่งอื่นใด ก็จะเกิดมีคเณศตัตวะ ไม่ใช่ไปทุ่มเทให้ภรรยาของคุณ สามีของคุณ ไมใช่พี่สาวน้องสาวของคุณ ไม่ใช่ประเทศของคุณ ไม่ใช่ใครอื่นทั้งนั้น นอกจาก “พระแม่” การอุทิศตนอย่างสมบูรณ์แบบจะทำให้คุณมีบุคคลิกภาพที่ดึงดูด (charisma) ในสหจะโยคะ คนที่มีคุณสมบัติเช่นนี้จะกลายเป็นคนที่มีพลังดึดดูด ที่นี่มีคนบางคนที่คิดว่า ถ้าคุณเป็นคนที่เฉยๆ (passive) แบบต่อให้ใครว่าอะไรคุณคุณก็ยอมได้ ถ้าคิดว่าแบบนี้คือการมีบุคลิกภาพดึงดูด คุณคิดไม่ถูกต้อง มนุษย์คนอื่นชอบคนแบบคุณก็เพราะเขาสามารถครอบงำคุณได้ พวกเขาชอบคุณก็เพราะเขาครอบงำคุณได้

แต่ในทางตรงกันข้าม หากคุณคิดว่าด้วยความก้าวร้าวของคุณด้วยการตระโกน กรีดร้องต่อว่าคนอื่น คุณจะเข้าถึงบุคลิกภาพที่ดึงดูด คุณก็ทำไม่ได้ คุณจะเข้าถึงระดับสูงเช่นนั้นไม่ได้ แล้วคุณจะเข้าถึงสภาวะนี้ได้อย่างไร? ก็ด้วยการมีคุณสมบัติแห่งความบริสุทธิ์ (innocence) มากยิ่งขึ้น แต่ความบริสุทธิ์ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้จากการแค่คิดถึงความบริสุทธิ์ อย่างเช่น มีคนมาถามแม่ว่า “ท่านบริหารจัดการเรื่องภาษีรายได้ส่วนบุคคลอย่างไร” แม่ก็ตอบไปว่า “โดยไม่มีรายได้เลยแม้แต่น้อย” ต่อมาพวกเขาก็ถามแม่อีกว่า “คุณแม่แก้ไขปัญหาเรื่องยานพาหนะอย่างไร” “ด้วยการไม่มีรถเป็นของตนเองเลยสักคัน” พวกเขาถามต่ออีกว่า “แล้วเรื่องบ้านล่ะ” “ก็ด้วยการไม่มีบ้านเป็นของแม่เอง” ไม่ใช่ ไม่ใช่ ทุกอย่างคือ “ไม่ใช่ ไม่มี” สำหรับแม่ แม่ถามไปอีกว่า แล้วสำหรับตัวคุณเองล่ะ “คุณแก้ปัญหาของตนเองอย่างไร” ก็ต้องโดยการที่ไม่ครอบครอง ไม่มี ไม่ครอบครอง อย่าเอาเรื่องปวดหัวมาใส่ตนเอง เมื่อคุณนำเรื่องน่าปวดหัวมาใส่ตนเอง ความบริสุทธิ์ของคุณก็จะลดลง เรื่องน่าปวดหัวก็อย่างเช่น นี่คือผ้าคลุมไหล่ของฉัน นี่คือส่าหรีของฉัน นี่คือสิ่งของของฉัน นี่คือสิ่งนี้ นี่คือสิ่งนั้น สี่งนี้ สิ่งนั้นไปเรื่อยๆ สิ่งเดียวที่คุณควรมีคือ “นี่คือพระแม่ของฉัน ฉันต้องประกาศความจริงเกี่ยวกับท่าน” แค่นี้ นี่คือวิธีที่ความบริสุทธิ์จะพัฒนาเกิดขึ้น เหมือนเช่นศรีคเณศ และด้วยการที่ไม่ต้องมีเรื่องน่าปวดหัวอื่นๆ

นี่คือ “ของฉัน” นี่คือ “ของฉัน” คำว่า “ของฉัน” คือตัวก่อปัญหา โดยส่วนตัวแล้ว แม่เห็นว่านี่คือต้นเหตุแห่งปัญหา คือเรื่อง “ของฉัน” คิดว่า “ของฉัน” คือตัวก่อปัญหา เพราะอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับ “ของฉัน” ไม่ใช่ “สหจะ” ร่างกายของฉัน ศีรษะของฉัน ทุกอย่างของฉัน ของฉันแต่ตัว “ฉัน” “ฉัน” คือใคร สิ่งที่ไม่ใช่ของฉันก็คือตัว “ฉัน” “ฉัน” เป็นสิ่งที่แยกออกมา เมื่อแยก “ฉัน” ออกมามันก็คือ “จิตวิญญาณ” มีคนอธิบายให้แม่ฟังแบบนี้ ซึ่งแม่ก็เห็นว่าเป็นข้อโต้แย้งที่ดี ดังนั้นสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ “ฉัน” และ “ฉัน” ก็คือสิ่งที่เราต้องพิเคราะห์ต่อไป หากคุณพิจารณาตัดตัวคำว่า “ของฉัน” “ของฉัน” “ของฉัน” ออกไป ก็จะเหลือแต่ “จิตวิญญาณที่บริสุทธิ์” ดังนั้น แม้กระทั่งแนวคิดเรื่อง “จิตวิญญาณ” คนทั่วไปคิดว่าหากคุณกลายเป็น “จิตวิญญาณ” คุณจะต้องกลายเป็นคนที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ อย่างเช่นต้องมีอำนาจเหมือนวัวกระทิง หรือคิดว่าคุณจะต้องฉลาดเฉลียวปราดเปรียวเหมือนสุนัขจิ้งจอก หรือคุณจะต้องกลายเป็นปัญญาชนแบบฟรอยด์ (Sigmund Freud) หรืออะไรแบบนั้น ผู้คนมีความคิดต่างๆ นานากันไป ซึ่งมันไม่ใช่เช่นนั้นเลย คนที่มีความเป็นจิตวิญญาณสูง (Spiritual person) คือคนที่มีแต่ความบริสุทธิ์ มีเพียงแค่ความบริสุทธิ์เท่านั้น (innocent) ไม่มีความเฉลียวฉลาด (intelligence) ไม่มี มีแต่ความบริสุทธิ์ ทั้งหมดทั้งปวงคือความบริสุทธิ์เท่านั้น ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร คำพูดก็จะออกมาจากความบริสุทธิ์ ไม่ใช่ออกมาจากการใช้ความคิดใคร่ครวญ (intellect) ซึ่งผู้คนทั่วไปมี ผ่านการอ่าน ผ่านการทำความเข้าใจ หรือผ่านการพินิจเคราะห์ (analyzing) ไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลย มีเพียงแต่ความสะอาดบริสุทธิ์ (pure and innocence) และเพียงแค่นี้ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างดียิ่ง เพราะจิตวิญญาณนั้นสะอาดบริสุทธิ์ จิตวิญญาณจะพูดเฉพาะถึงสิ่งที่ตนเองรู้ และสิ่งที่จิตวิญญาณรู้ ก็คือสิ่งสูงสุดแล้ว

ดังนั้น เราจะต้องทำลายเงื่อนไข อุปาทานต่างๆ แต่คุณต้องไม่เข้าถึงจิตวิญญาณด้วยการถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อคุณเริ่มถกเถียงวิเคราะห์วิจารณ์ มันก็จะกลายเป็นข้อโต้แย้งทางเทววิทยาไปเสียหมด (theological argumentation) “จิตวิญญาณ” ไม่เกี่ยวข้องกับ “เทววิทยา” จิตวิญญาณเป็นเรื่องง่ายๆ เป็นสิ่งที่ง่ายดายที่สุด นั่นคือ “การมีความบริสุทธิ์” แต่ปัจจุบัน เราสูญเสียความบริสุทธิ์ไป เพราะเหตุใด? เพราะสติของเราไปจดจ่ออยู่ที่เรื่องโน้นเรื่องนี้ เราเอาสติของเราไปจดจ่อกับสิ่งอื่น เรามองไปที่เรื่องอื่นๆ มันง่ายนิดเดียว อย่างวันนี้ แม่คิดว่าแม่จะต้องซื้อส่าหรีที่มีความยาว ๙ หลา เรื่องง่ายๆ เพราะว่ามีผู้หญิง ๓ คน ที่ต้องใส่ส่าหรี ๙ หลา และแม่ต้องให้ส่าหรียาว ๙ หลา จำนวน ๓ ผืน แก่พวกเธอทั้ง ๓ คน เรื่องก็มีอยู่เท่านี้ แม่เพียงแค่คิดเท่านั้น พอแม่มาถึงที่นี่ (โกลฮาปูร : ผู้แปล) แม่ก็เห็นส่าหรีที่งดงามมาก แม่จึงถามว่า “ซื้อส่าหรีนี้จากที่ไหน” เจ้าของส่าหรีตอบว่า ซื้อจากที่นี่ แม่ก็เลยขอให้เธอช่วยไปซื้อส่าหรีมาให้ ๓ ผืน ไม่มีการวิเคราะห์วิจารณ์ใดๆ ทั้งสิ้น แค่แม่นึกขึ้นมาได้ว่าต้องซื้อส่าหรี จบ คำตอบก็อยู่ที่นี่ ดังนั้น แม้กระทั่งบรรยากาศโดยรอบก็เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ จนกระทั่ง “ทางออก” ของปัญหาจะถูกจัดวางให้แก่เราเอง ผ่านความบริสุทธิ์ ไปสู่ความบริสุทธิ์

“ความบริสุทธิ์” จะช่วยจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้เรา เพราะว่า มนุษย์ทุกผู้ทุกนามต่างก็มี “ความบริสุทธิ์” เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? ดังนั้น มันก็เหมือนกับจารชนสายลับ ความบริสุทธิ์ทำหน้าที่เป็นเหมือน “จารชน” ภายในตัวคุณ ดังนั้นบุคคลใดก็ตามที่มีความบริสุทธิ์อยู่ในภายใน บุคคลนั้นจะสามารถเจรจาติดต่อกับจารชนที่อยู่ภายในตัวคุณ และจะช่วยทำให้สิ่งต่างๆ ในตัวคุณเป็นไปด้วยดี อย่างเช่นเวลาที่คุณทำบันดันให้ผู้อื่น เกิดอะไรขึ้น? เวลาทำบันดันให้คนอื่น อันที่จริงก็คือการที่คุณเชื่อมต่อบุคคลนั้นเข้ากับความบริสุทธิ์ภายในตัวคุณ โดยที่คนๆ นั้นมิได้ล่วงรู้ คนๆ นั้นเขาก็มีความบริสุทธิ์อยู่ภายในเช่นกัน คุณแค่ไปเชื่อมต่อกับความบริสุทธิ์ของเขา ก็แค่นั้น นี่คือวิธีการที่คนบริหารจัดการปัญหา เป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง หลักการเพียงประการเดียว ตัตวะเพียงอย่างเดียวที่เป็นพื้นฐานของทุกๆ สิ่ง ไม่มีสิ่งอื่นใด ตัตวะนั้นก็คือ “ความบริสุทธิ์”
ดังนั้น จงพยายามพัฒนาความบริสุทธิ์ขึ้นด้วยการกำหนดว่า ไม่ใช่สิ่งนี้ ไม่ใช่สิ่งนี้ (Neti, Neti/ Not this, Not this) สำหรับความผิดพลาดบกพร่องใดๆ ทั้งหมดของคุณ ไม่ใช่สิ่งนี้ ไม่ใช่สิ่งนี้ ไม่ใช่สิ่งนี้ แล้วคุณก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์ ไม่ใช่ของฉัน ไม่ใช่ของฉัน ไม่ใช่ของฉัน ไม่ใช่ของฉัน แล้วคุณก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์ นี่คือวิธีการ และคุณจะได้เห็นว่าโลกทางวัตถุทั้งหมดจะไม่สามารถโจมตีความบริสุทธิ์ได้ เพราะมันจะเกิดความสะพรึงกลัว คุณจะไม่สามารถถูกโจมตี ความบริสุทธิ์ไม่มีทางที่จะถูกทำลาย ความบริสุทธิ์ ไม่มีทางที่จะถูกทำลายลงได้ ความบริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง และไม่สามารถถูกทำลาย ไม่ว่าใครจะพยายามอย่างไร ก็จะทำลายความบริสุทธิ์ไม่ได้ แต่ความบริสุทธิ์ อาจจะถูกปกคลุมถูกเคลือบได้ ความบริสุทธิ์อาจจจะลดถอยได้ แต่มิอาจถูกทำลายได้ ความบริสุทธิ์ จะเป็นผู้กระทำสิ่งต่างๆ ด้วยวิถีของตนเอง ดังนั้นจงพยายามพัฒนาความบริสุทธิ์ประเภทนี้ที่เป็นรากฐานของมหาลักษมีตัตวะ หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “แก่น” ของมหาลักษมีตัตวะ

ดังนั้นในด้านนอกก็คือ “น้ำหนัก” คือ “ความน่าเคารพเชื่อถือ” คือความประพฤติทุกอย่างที่แสดงออก มีทั้งด้านนอกและด้านใน สำหรับด้านในคือ หลักการ หรือ ตัตวะที่เป็นรากฐานก็คือ “ความบริสุทธิ์” หากเราจะเข้าใจหลักการมหาลักษมีตัตวะ ว่าทำงานอย่างไร นี่ก็คือหลักการ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้การพินิจพิเคราะห์ทางปัญญา แม่ขอย้ำอีกครั้งว่า แม่ไม่ต้องการให้พวกคุณใช้ความคิดในระดับของสมองมาวิเคราะห์หาความจริงเรื่องนี้ ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น (remain where you are) แล้วคุณก็จะได้ค้นพบคำตอบต่างๆ เอง อย่างเช่น เมื่อปัญหาเกิดขึ้นกับคุณ ก็จงอย่าไปใส่ใจกับมัน เพียงแค่นั้นคุณก็จะได้คำตอบแก่คำถามเพียงแค่นั้นเอง เนื่องจากความบริสุทธิ์ที่มีอยู่ในทุกผู้ทุกคนก็คือ คำตอบที่แสนจะง่ายดายยิ่งที่จะทำให้ความยุ่งยากทั้งหลายคลี่คลายหายไป และนี่ก็คือความรักของพระเจ้า นี่คือความรักของพระเจ้า จงอย่างนำความรักของพระเจ้าไปปะปนกับความรักแบบดาษดื่นไร้สาระ อย่านำไปปะปนกับความยึดมั่นถือมั่นแบบใดๆ ที่คุณมีต่อมนุษย์ผู้อื่น ความรักอันสะอาดบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ภายในตัวเราที่มีทั้งความสะอาดบริสุทธิ์ ความไร้เดียงสานี่ต่างหากที่เป็น “ความรัก” ที่แท้จริง และความรักเช่นนี้ ก็คือพื้นฐานของชีวิต หรือเราอาจกล่าวได้ว่า คือสิ่งที่เราควรยกย่องเชิดชู แต่ปราณศักติ (Prana shakti) หาใช่มหาลักษมีไม่ มหาลักษมีคือ “แก่นแท้” (essence) ของทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าหากการสร้างสรรค์จะต้องมีขึ้น หากพระผู้เป็นเจ้าทรงปรารถนาที่จะสร้าง แต่ปราศจากซึ่งมหาลักษมีตัตวะ จะมีประโยชน์อันใดที่จะมีความปรารถนา จบกันพอดี ถ้าหากคุณมีแต่การสร้าง (creation) แต่ปราศจากมหาลักษมีตัตวะ คุณจะสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้สำเร็จได้อย่างไร คุณจะทำไม่สำเร็จ คุณจะต้องมีมหาลักษมีตัตวะ มิฉะนั้นสิ่งที่คุณสร้างขึ้นมาจะไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง

จากด้านนอกเรามีมหาลักษมีตัตวะ แต่ในด้านในก็ยังมีอีก เราอาจกล่าวได้ว่ามีหลักการอยู่ ๓ อย่างด้วยกัน หลักการแรกคือ มหาลักษมีตัตวะ ซึ่งคุณสามารถมองเห็นได้จากด้านนอก กล่าวคือสามารถมองเห็นวิวัฒนาการและการเจริญเติบโต แต่จากด้านในก็คือการสร้างสรรค์ (Creation) ซึ่งเป็นพื้นฐานของวัตถุธาตุทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ลึกลงไปภายในอีกชั้นก็คือ ความปรารถนา (desire) และภายในความปรารถนานั้นก็คือ “the half one” หรือศรีคเณศ ดังนั้นคเณศตัตวะสามารถมีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่างและสามารถแทรกซึมเจาะผ่านทุกสิ่งทุกอย่างได้ และด้วยเหตุนี้เอง แม่จึงต้องบอกพวกคุณว่า “จงอย่าได้ใช้ความคิดเข้าใจเรื่องนี้” เพียงแต่ปล่อยให้ความบริสุทธิ์ของคุณพัฒนาเติบโตขึ้น แค่มีความบริสุทธิ์ และความมีศักดิ์ศรี (dignity) และความสง่างาม เท่านั้น การมีศักดิ์ศรี (dignity) เป็นเรื่องที่มีความสำคัญยิ่ง บางคนคิดว่าถ้าได้สวมใส่ผ้าผืนเดียวเดินไปมาตามถนน เขาก็สามารถเป็นสันยาสี (ผู้สละเรือน) ที่ยิ่งใหญ่ นี่เป็นความคิดที่ผิด ทำไมจึงผิด? ก็เพราะคุณขาดความสง่างาม พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานสิ่งต่างๆ ให้คุณมากมาย ทำไมคุณจะต้องแสดงออกต่อผู้อื่นว่าคุณไม่มีอะไรเลย ทำไมจะต้องทำให้ผู้อื่นคิดว่าคุณไม่มีอะไรเลย ทั้งที่พระเจ้าทรงประทานให้แล้ว นี่เป็นการแสดงความขอบคุณพระเจ้า (thanksgiving) ว่าพระองค์ทรงประทานสิ่งต่างๆ ให้เรามากมายเหลือเกิน คุณควรจะต้องสวมใส่เสื้อผ้าที่ดีที่สุด อย่างเช่นในพิธีบูชา คุณอาจจะเห็นบรรดาสุภาพสตรีอินเดียพากันสวมใส่ห่วงแหวนที่จมูก และยังมีเครื่องประดับประดาอื่นๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะในศาสนสถานพวกเขาจะประดับประดาตนเอง ในทำนองเดียวกันผู้ชายเองก็จะสวมใส่เสื้อผ้าชุดที่สะอาดมากๆ และมีสิ่งสะอาดอื่นๆ ทุกๆ อย่างที่เขามีอยู่ ไม่ใช่การแสดงออกแบบฟุ่มเฟื่อยแต่เป็นวิธีการแสดงความขอบคุณต่อพระเจ้าที่ทรงประทานสิ่งต่างๆ ให้คุณ “โอ้ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ากราบขอบคุณพระองค์”
วันนี้เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ เพราะถือเป็นวันปีใหม่ และเป็นวันปีใหม่ที่เรามารวมตัวกันที่สถานที่ของมหาลักษมี ณ โกลฮาปูร สถานที่นี้ถูกเรียกชื่อว่าโกลฮาปูร เนื่องจากโกลฮาสุระถูกสังหารที่นี่ โกลฮาสุระมีความชั่วร้ายเหมือนสุนัขจิ้งจอก หลังจากนั้นเขาก็มาเกิดอีกครั้ง และตอนนี้ก็สิ้นชีพไปแล้วอีกครั้ง ขอบคุณพระเจ้า อสูรตนนี้เคยอยู่ที่นี่ และปัจจุบันถูกสังหารไปแล้ว พวกคุณจงอย่าคิดถึงเรื่องนี้ จิตคุณกำลังส่งออกนอกอีกแล้ว อย่าคิดถึงมัน แม่จะเล่าให้คุณฟังเอง แม่จงใจหลีกเลี่ยงการเอ่ยชื่อ อสูรตนนี้มาเกิดอีกครั้ง และบัดนี้ได้ถูกกำจัดไปแล้ว และนี่คือสถานที่ โกลฮาสุระถูกฆ่า จึงมีการสร้างวิหารนี้ขึ้นมา ดังนั้น อวตารของมหาลักษมีได้มาที่นี่และด้วยเหตุนี้สถานที่แห่งนี้จึงมีความหมายพิเศษที่ทำให้เราพากันมาแสวงบุญที่นี่
ขอให้พวกเราจงมีจิตที่อ่อนน้อมในการที่จะคิดถึงเรื่องนี้ อันที่จริง เรื่องประเภทนี้ไม่สามารถจะเกิดขึ้นในโลกตะวันตกเพราะหากว่า สัญลักษณ์ของมหาลักษมีผุดขึ้นมาจากพระแม่ธรณีในโลกตะวันตก จะมีใครยอมรับบ้าง? จะมีใครจะหยั่งรู้เรื่องเหล่านี้ จะมีใครเคารพนับถือ? จะมีใครบูชา? นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมสิ่งเหล่านี้จึงไม่เกิดขึ้นมากนักในโลกตะวันตก แม้ว่าจะพอมีอยู่บ้างก็ตาม แต่ที่นี่เรามีบรรดาศาสนสถานและวิหารต่างๆ ถึงกระนั้นก็ถูกโจมตีจากพวกตันตริกะ พวกตันตริกะได้ขอเช่าวิหารแห่งนี้ และพยายามจะก่อร่างสร้างความยิ่งใหญ่ให้ตนเองที่นี่ แต่ในที่สุดพวกเขาก็ค่อยๆ ถูกลดอำนาจและถูกขจัดออกไป พวกตันตริกะเหล่านี้เดินทางไปทุกหนทุกแห่งที่เป็นวิหารของเทวี (Goddesses) และพยายามจะเผยแพร่แนวคิดของตน การโจมตีเช่นนี้ได้เกิดขึ้นตลอด นอกจากนี้ยังมีบรรดาพวกที่เรียกตนเองว่า “พราหมณ์” มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่และได้เผยแพร่คำสอนของพวกตันตริกะทั้งหลาย เหตุการณ์เหล่านี้ได้ทำให้บรรยากาศของที่นี่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดีเลย ขอพระเจ้าประทานพรแก่พวกคุณทุกคน แม่ปรารถนาให้พวกคุณสามารถพัฒนาความมั่นคงของจิต จนกระทั่งคุณสามารถที่จะอยู่เหนือความยึดมั่นถือมั่นผิดๆ (misidentification) และสามารถยึดมั่นใน “จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์” ผ่าน “มหาลักษมีตัตวะ” ของคุณ
ขอพระเจ้าประทานพรแก่คุณ