Sahasrara Puja, Above the Sahasrar

Gorai Creek, Mumbai (India)

Feedback
Share
Upload transcript or translation for this talk

มหาสหัสราระบูชา
โกไรครีก เมืองบอมเบย์ (มุมไบ)
๕ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๘๓ (พ.ศ. ๒๕๒๖)
(แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษซึ่งถอดความมาจากภาษาฮินดี)

ในนามของพวกคุณทุกคน แม่ขอขอบใจกลุ่มโยคีผู้จัดงานในบอมเบย์ที่ได้เตรียมการต่างๆ ให้พวกเราและในนามของแม่เอง แม่ขอขอบใจพวกเขาทุกคน พวกเขาได้เลือกสถานที่อันสวยงามยิ่งแห่งนี้ให้กับเรา สถานที่แห่งนี้คือของขวัญที่พระเจ้าประทานให้เราในโอกาสที่แม่จะต้องปาฐกถาเกี่ยวกับจักรสหัสราระโดยการได้นั่งใต้ต้นไม้ต้นเดียวกันกับตอนที่จักรนี้ได้เปิดออกเป็นครั้งแรก ภารกิจอันยิ่งใหญ่ในการเปิดจักรสหัสราระได้สำเร็จลุล่วงไปเมื่อ ๑๔ ปี ที่ผ่านมา (หรือเราอาจจะกล่าวได้อีกอย่างว่า เวลาได้ผ่านไปถึง ๑๓ ปีแล้ว และปีที่ ๑๔ กำลังเริ่มต้นขึ้น) แม่ได้เล่าให้พวกคุณฟังเกี่ยวกับการเปิดจักรสหัสราระหลายครั้งหลายหนแล้วในทุกๆ โอกาสครบรอบวันสหัสราระ ว่าได้เกิดอะไรขึ้น สหัสราระถูกเปิดอย่างไร? และสหัสราระมีความสำคัญอย่างไร

แต่ในวันครบรอบ ๑๔ ปี ของสหัสราระ มีความสำคัญยิ่ง เนื่องจากมนุษย์ในขณะนี้มีชีวิตอยู่ในขั้นตอนที่ ๑๔ และในวันที่เขาข้ามพ้นขั้นตอน ๑๔ เขาก็จะกลายเป็นสหจะโยคีที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้น ในวันนี้สหจะโยคะจึงกลายเป็นสหจะโยคีด้วย เรื่องมีอยู่ว่า พระผู้เป็นเจ้าได้สร้างขั้นตอน ๑๔ ระดับไว้ในตัวของเรา หากคุณลองนับง่ายๆ คุณจะรู้ว่า มีจักร ๗ จักรอยู่ภายในตัวเรา นอกจากจักรทั้ง ๗ นี้แล้ว ยังมีอีก ๒ จักระ ที่พวกคุณไม่ค่อยได้กล่าวถึงมากนัก นั่นคือจักรจันทระ (หรือจักรลลิตา) และจักรสุริยะ (หรือจักรศรี) นอกจากนี้ก็ยังมีจักรฮัมสะ (Hamsa) ๗ บวก ๓ เป็น ๑๐ จักร และเหนือขึ้นไป จากสหัสราระ ก็ยังมีอีก ๔ จักระ ซึ่งแม่ได้เคยเล่าให้คุณฟังแล้ว ได้แก่
อรรถพินธุ (Ardha Bindu)
พินธุ (Bindu)
วัลยา (Valaya)
ประทักษิณะ (Pradakshina)
หลังจากที่คุณเข้ามายังสหจะโยคะและหลังจากที่สหัสราระของคุณได้รับการเปิดออก คุณจะต้องก้าวผ่านจักรทั้ง ๔ เหนือสห้สราระนี้ คือ อรรถพินธุ, พินธุ, วัลยา และประทักษิณา คุณจึงจะสามารถกล่าวได้ว่า คุณคือสหจะโยคี หรือถ้าจะมองอีกมุมหนึ่ง เราจะต้องข้ามขั้นตอนต่างๆ ทั้ง ๑๔ ขั้นตอน เพื่อเปิดจักรสหัสราระ และถ้าหากคุณลองแบ่งจักรเหล่านี้เป็นกลุ่ม ก็จะมี ๗ จักรบนช่องพลังด้านซ้าย (อิฑา) มีอีก ๗ จักรที่ช่องพลังด้านขวา (ปิงคลา)

โดยเมื่อมนุษย์พัฒนาตนเองทางจิตวิญญาณขึ้นมา เขาไม่ได้เดินทางเป็นเส้นตรง แต่เขาจะต้องไปทางฝั่งซ้ายก่อน แล้วข้ามไปฝั่งขวา หลังจากนั้นก็จะกลับไปฝั่งซ้ายและย้ายไปทางฝั่งขวาอีก โดยเมื่อพลังกุณฑลินีพัฒนาสูงขึ้น ท่านก็จะทำแบบเดียวกัน เพื่อที่จะช่วยให้คุณเข้าใจได้ง่ายๆ แม่ขอยกตัวอย่างของเชือก ๒ เส้น เชือกทั้งสองเส้นนี้อยู่เคียงข้างกันและในกระบวนการขึ้นสูงหรือลงต่ำ เชือกทั้งสองเส้นนี้จะตัดผ่านกัน ๒ รอบ (เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณแม่ศรีมาตาจี กำลังอธิบายว่าการขึ้นสูง ของพลังกุณฑาลินี ผ่านช่องพลังด้านซ้ายและขวา แบบไขว้ไปมา ก่อให้เกิดวงแหวน (loop) ๔ วง ที่แต่ละจักร โดยมี ๒ วงที่เกิดขึ้นในทิศทางตามเข็มนาฬิกา และอีก ๒ วง ที่อยู่ในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา) ในขณะที่พลังกุณฑลินีเดินทางสูงขึ้นตามแนวกระดูกสันหลัง คุณจะพบว่าจักรต่างๆ อาจจะติดขัดที่จักรด้านซ้ายหรือด้านขวา แม้ว่าพลังกุณฑลินีจะมีเพียงหนึ่งเดียว แต่บนทุกจักรคุณจะได้เห็นทั้งสองด้าน คุณจึงได้รู้ว่าจักรที่ผิดปกติอยู่ด้านซ้ายหรือด้านขวา ดังนั้น จักรทั้ง ๗ ภายในตัวเราแบ่งเป็นจักรด้านซ้ายและจักรด้านขวา ๗ คูณ ๒ เท่ากับ ๑๔ เช่นเดียวกับที่ในตัวเราก็มีขั้นตอน ๑๔ ขั้น ที่เราต้องก้าวผ่าน ก่อนที่จะสามารถไปถึงสหัสราระได้ และถ้าหากคุณเข้าใจเรื่องนี้ได้ คุณก็จะสามารถเข้าใจถึงการที่เส้นทางของการที่ขั้นตอนทั้ง ๑๔ ขั้นถูกสร้างขึ้นมา

ด้วยเหตุนี้ ทั้ง ๑๔ ขั้นตอนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งของกุณฑลินีศาสตร์ สำคัญจริงๆ มันเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ พวกเราควรจะต้องเข้าใจให้แจ่มแจ้งว่า เราจะเริ่มมีสิทธิได้รับพรต่างๆ ของสหจะโยคะก็ต่อเมื่อพวกเราได้ก้าวขึ้นเหนือลำดับชั้นทั้ง ๑๔ ที่กล่าวมาแล้วเท่านั้น ดังนั้น เราจะต้องก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และเราจะต้องซึมซับเอากุณฑลินีศาสตร์ไว้ในตัวเราอย่างสมบูรณ์แบบ คำว่าราชนะและวิราชนะ (Rajana and Virajana) เป็นคำ ๒ คำที่แม่ได้บอกคุณหลายครั้งแล้วก่อนหน้านี้ แต่สำหรับในวันนี้เป็นโอกาสพิเศษ ในวันสหัสสาระนี้ เราควรจะได้เข้าใจว่าราชนะ (การปกครอง การเป็นนายหรือผู้ปกครอง) คืออะไร? วิราชนะ (การเข้ารับตำแหน่ง) คืออะไร ขณะนี้พวกคุณกำลังนั่งอยู่และมองออกไป ที่เหล่าต้นไม้ด้านหน้า เหล่านี้คือต้นศรีผลหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าต้นมะพร้าว คุณจะเคยคิดถึงต้นศรีผลหรือไม่ แม่ไม่รู้ แต่ต้นศรีผลเป็นไม้ที่คู่ควรแก่การพินิจพิเคราะห์ถึง “ทำไมมันจึงถูกเรียกชื่อว่า ศรีผล?”

ต้นศรีผลมักจะเกิดและเติบโตตามแนวชายฝั่งทะเล ผลของมันจะเจริญเติบโตได้ดีที่สุดในบริเวณชายฝั่งทะเล เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะทะเลก็คือ “ธรรมะ” ที่ใดมีธรรมะ ที่นั่นเป็นสถานที่ซึ่งศรีผลจะสามารถเติบโตผลิดอกออกผล ที่ใดขาดธรรมะ ศรีผลก็จะไม่สามารถเติบโตได้ แต่แท้ที่จริง ทะเลนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในตัวมันเอง มีทั้งความสะอาด มีทั้งสิ่งสกปรก มีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในทะเล น้ำทะเลยังประกอบไปด้วยเกลือ มีเกลืออยู่ในนั้น พระคริสต์เคยกล่าวไว้ว่า “พวกท่านคือเกลือแห่งโลกใบนี้” หมายความว่าพวกคุณสามารถที่จะแทรกซึมเข้าไปในทุกสิ่งทุกอย่าง คุณสามารถจะให้รสชาติกับทุกสิ่งทุกอย่าง หากปราศจากเกลือมนุษย์ก็จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ แม้แต่พลังปราณ (พลังชีวิต – Pranashakti) ที่เรารับเข้ามาในตัวเราแต่ถ้าเราไม่มีเกลืออยู่ในร่างกาย พลังปราณ ก็จะทำงานไม่ได้ เพราะเกลือเป็นตัวกระตุ้น (Catalyst) ให้ปราณศักติทำงาน เกลือเป็นสิ่งที่ช่วยจัดระบบในการมีชีวิตอยู่ของเรา ทำให้เราสามารถมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ ทำให้เราสามารถมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ ทำให้เราสามารถมีชีวิตอยู่ในโลกอันเป็นมายาแห่งนี้ หากปราศจากเกลือ มนุษย์ก็จะกลายเป็นสิ่งไร้ค่า

แต่เมื่อน้ำทะเลระเหยขึ้นสูงสู่พระเจ้า(ปรมาตมัน) น้ำทะเลจะทิ้งธาตุเกลือไว้เบื้องล่าง ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกทิ้งไว้เบื้องล่าง และเมื่อแสงอาทิตย์ส่องไปยังต้นศรีผลเหล่านี้ เมื่อแสงอาทิตย์กระทบต้นศรีผล น้ำหล่อเลี้ยง (Sap) ต้นซึ่งอยู่ตามใบและลำต้นของศรีผลทั้งต้นจะถูกดูดขึ้นมาสู่ด้านยอดของลำต้นและระเหยไปในอากาศ น้ำหล่อเลี้ยงต้นจะไหลผ่านลำต้นขึ้นสู่ด้านยอด และทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง น้ำหล่อเลี้ยงได้ข้ามผ่านขั้นตอนทั้ง ๑๔ ขั้น กว่าจะขึ้นไปถึงส่วนยอดและกลายเป็นศรีผล (ลูกมะพร้าว) พวกคุณก็คือลูกศรีผล การถวายศรีผลแก่องค์เทวีเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง การบูชาจะถือว่าสำเร็จสมบูรณ์แบบ (Sampanna) ไปมิได้ถ้าหากเรามิได้ถวายศรีผล นอกจากนี้ ศรีผลเป็นผลไม้ที่แปลก ในโลกนี้ไม่มีผลไม้ใดเหมือนศรีผลอีกแล้ว ไม่มีส่วนใดของศรีผลที่จะสูญเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ ทุกส่วนของต้นมะพร้าวถูกใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่

ศรีผลก็เป็นเหมือนสหัสราระของมนุษย์ เส้นใยของกาบมะพร้าวเปรียบเหมือนเส้นผมซึ่งทำหน้าที่ปกป้องเราจากความตาย ดังนั้นเราจึงให้ความเคารพต่อเส้นผม เส้นผมเป็นสิ่งที่ทรงพลังอำนาจ เพราะเส้นผมทำหน้าที่ปกป้องเรา และภายใต้เส้นผมคือกระโหลกศรีษะ ซึ่งพวกคุณก็เห็นแล้วว่าในศรีผลนั้นก็มีกะลามะพร้าวซึ่งมีคุณสมบัติเป็นของแข็งเป็นเกราะชั้นนอก ส่วนภายในกะลามะพร้าวก็จะมีเนื้อเยื่อสีเทาห่อหุ้มเนื้อสีขาว ซึ่งก็จะเหมือนกับสมองของเรา สมองส่วนที่เป็นสีเทาและเนื้อสมองสีขาวด้านใน และในนั้นมีน้ำซึ่งก็คือ น้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง cerebrospinal fluid ภายในตัวเรา ภายในลูกศรีผลจะมีน้ำ (มะพร้าว) อยู่ ซึ่งก็เหมือนกับสมองส่วน limbic ของคนเรา สำหรับต้นมะพร้าว ลูกมะพร้าว (ศรีผล) ก็คือผลไม้ สำหรับมนุษย์เรา นี่ก็คือผล สมองของเราก็คือผลของวิวัฒนาการมนุษย์ เรียกว่าจากชั้นของการเป็นอะมีบาจนกระทั่งที่เรากลายมาเป็นมนุษย์ในทุกวันนี้ เราพัฒนามาได้ก็เพราะ “สมอง” ภายในสมองนี้เรามีพลังนานาชนิด ภายในสมองเป็นที่รวมของความมั่งคั่งต่างๆ ที่เราได้เคยรับมา

ส่วนจิตวิญญาณหรืออาตมันนั้นสถิตอยู่ที่หัวใจ หลังจากสหจะโยคะ (การรวมเป็นหนึ่งกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบเป็นไปเอง) แสงสว่างของจิตวิญญาณจะส่องแสงแผ่ขยายอยู่ภายในตัวเราโดยเป็นแสง ๗ ชั้น ซึ่งสภาวะนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสหัสราระได้ถูกเปิดขึ้นแล้วเท่านั้น จนถึงทุกวันนี้เรากระทำสิ่งต่างๆ โดยใช้สมองของเรา ก่อนการตระหนักรู้ อีโก้และซูเปอร์อีโก้ (หรืออัตตาและเงื่อนไขอุปทาน) เป็นผู้กระทำงานทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ทำลงไป ไม่มีสิ่งอื่นใดเลยที่เป็นผู้กระทำนอกจากอีโก้และซูเปอร์อีโก้ แต่ภายหลังการตระหนักรู้แล้ว เราทำสิ่งต่างๆ ด้วยความช่วยเหลือของจิตวิญญาณ (อาตมัน) ก่อนหน้าการตระหนักรู้ จิตวิญญาณ (อาตมัน) สถิตอยู่ภายในหัวใจ โดยจิตวิญญาณจะเพียงแต่ทำหน้าที่เป็นพยาน หน้าที่ของจิตวิญญาณไม่ว่างานนั้นจะเป็นอะไร ก็คือการเป็นพยาน จิตวิญญาณจะคอยทำเช่นนั้นอยู่ตลอด แต่แสงสว่างของจิตวิญญาณยังไม่ส่องไปยังสติของเรา จิตวิญญาณยังคงแยกออกจากเรา จิตวิญญาณยังไม่อยู่ในสติ (attention) ของเรา

หลังจากการตระหนักรู้ จิตวิญญาณจะเข้าไปยังสติ (chitta หรือ attention) ของเราก่อน ในขั้นแรกจิตวิญญาณจะเข้าไปที่สติก่อน และอย่างที่คุณก็ทราบว่าสติมีที่ตั้งอยู่บริเวณวอยด์ หลังจากนั้นแสงสว่างของจิตวิญญาณจะเข้าไปสู่สัจธรรม (truth) เพราะเมื่อแสงสว่างของจิตวิญญาณเข้าไปยังสมองของเรา เราจะสามารถ “หยั่งรู้ ” ถึงสัจธรรมได้ “การหยั่งรู้” ไม่ได้หมายถึงการรู้ผ่านการใช้ความคิดแต่เป็นการหยั่งรู้ปรากฎการณ์ที่เป็นจริง (reality) หรือ Sakshat หรือสิ่งที่เป็นสัจธรรม หลังจากนั้นแสงสว่างของจิตวิญญาณจะปรากฎขึ้นให้เห็นภายในหัวใจ หัวใจจะเริ่มมีความลึกซึ้ง หัวใจจะเริ่มขยายแผ่กว้างขึ้น กลายเป็นความกว้างขวางยิ่งใหญ่ เนื่องจากพลังอำนาจของความรัก เริ่มขยายตัวมากขึ้น นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงมี “ สัต จิต อานันทะ ” สัต จิต และ อานันทะ คือ สัจธรรม สติ และปีติสุข
สัจธรรมอยู่ในสมองเรา
จิตตะหรือสติ อยู่ภายในธรรมะ (วอยด์) ของเรา
ส่วนปีติ อยู่ในอาตมัน (หรือจิตวิญญาณ)
ทั้งหมดนี้เริ่มได้รับแสงสว่าง แสงสว่างของจิตวิญญาณจะค่อยๆ ขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างที่คุณทุกคนก็ทราบแล้ว แสงสว่างแห่งจิตวิญญาณค่อยๆ เติบโตอย่างช้าๆ มันเป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อน และในช่วงแรกจะเกิดขึ้นในระดับที่ละเอียดอ่อน และโดยที่สิ่งแวดล้อมที่เรามีชีวิตอยู่เป็นของหยาบ จึงเป็นการยากที่เราจะรับรู้หรือสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ละเอียดอ่อน (Subtle) อย่างไรก็ดีการเข้าถึงแสงสว่างจะค่อยๆ พัฒนาเป็นลำดับ หลังจากนั้นคุณก็จะเริ่มเติบโต และพัฒนาขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อม่านแห่งสหัสราระถูกเปิดออกแม้เพียงเส้นเดียว พลังกุลฑลินีก็จะตื่นขึ้น แต่ในขณะนั้นแสงสว่างของจิตวิญญาณยังไม่สามารถส่องสว่างไปได้ทั่ว เพราะกุณฑลินีเพิ่งจะตื่นขึ้นมา และคุณเพิ่งจะได้คารวะบัลลังก์ของสทาศิวะ แสงสว่างของจิตวิญญาณในตัวคุณยังถูกส่องออกมาได้อย่างเบาบาง แสงสว่างนี้ยังไม่สามารถให้แสงสว่างแก่สมองอย่างเต็มที่

สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ ต่อให้คุณปรารถนาจะขยายแสงสว่างของจิตวิญญาณไปทั่วสมอง คุณก็ไม่อาจทำได้ เพราะก่อนหน้าที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้น สมองและหัวใจของเราจะต้องเกิดดุลยภาพอย่างสมบูรณ์ระหว่างกันก่อน คุณก็รู้ดีว่าเมื่อเราใช้สมองมากจนเกินไป หัวใจของคุณก็ล้มเหลว และเมื่อคุณใช้หัวใจมากจนเกินไป สมองของคุณก็ล้มเหลว ทั้งสองอย่างมีความสัมพันธ์ต่อกัน เป็นความสัมพันธ์ที่มีอยู่ในระดับที่ลึกซึ้งมาก และด้วยเหตุที่สมองและหัวใจมีความสัมพันธ์ที่ลึกซื้งต่อกัน ดังนั้นเมื่อคุณได้รับการตระหนักรู้แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างสมองและหัวใจจะต้องพัฒนาไปในทางที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เมื่อใดที่สมองและหัวใจของคุณสามารถรวมเป็นหนึ่งได้ (integrated) สติของคุณจะกลายเป็นหนึ่งกับพระผู้เป็นเจ้าอย่างสมบูรณ์ (parameshwar-swarup) สภาวะนี้หฐโยคะอธิบายว่าเป็นสภาวะที่มนัส (super-ego) และอหังการ (ego หรือ Ahamkar) สลายไป (laya) แต่หากกล่าวเพียงเท่านี้ ก็ไม่มีวันที่ผู้ใดจะเข้าใจว่าจะสลายอีโก้และซูเปอร์อีโก้ได้อย่างไร พวกเขาได้แต่พยายามหาทางขจัดอีโก้และซูเปอร์อีโก้ แต่หากพยายามขจัดอีโก้ ซูเปอร์อีโก้ก็จะโผล่ขึ้นมา หากจะกำจัดซูเปอร์อีโก้ เดี๋ยวอีโก้ก็จะโผล่ขึ้นมาอีก พวกเขาไม่สามารถจะเข้าใจได้ว่าเรื่องประหลาดเช่นนี้คืออะไร ทำอย่างไรจึงจะสามารถอยู่เหนือ ซูเปอร์อีโก้และอีโก้

มีวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำได้ นั่นคือการเปิดจักรที่หก การชำระล้างจักรที่ ๖ จะทำให้ทั้งอีโก้และซูเปอร์อีโก้สลายตัวไปอย่างสมบูรณ์ และเมื่อใดที่ทั้งอีโก้และซูเปอร์อีโก้หมดไป ทั้งหัวใจและสมองก็จะพัฒนาความเชื่อมโยง แต่ก็ยังไม่เป็นอันหนึ่งเดียวกัน ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้เองที่พวกเราจะต้องเข้าถึงให้ได้ ดังนั้นหัวใจของคุณจะต้องกลายเป็นสหัสราระ และสหัสราระของคุณต้องเป็นหัวใจ ไม่ว่าคุณจะคิดสิ่งใดจะเป็นการคิดจากหัวใจ และไม่ว่าสิ่งใดที่อยู่ในหัวใจก็คือสิ่งที่คุณคิด เมื่อใดที่คุณเข้าสู่สภาวะนี้ เมื่อนั้นความลังเลสงสัย การขาดศรัทธา และความหวาดกลัวจะไม่สามารถหลงเหลืออยู่ได้ เมื่อมนุษย์คนหนึ่งเกิดความรู้สึกกลัว ที่ผ่านมาเราช่วยเขาด้วยวิธีใด ก็ด้วยการสอนสมองของเขาว่า “จงอย่ากลัว ไม่มีอะไรจะต้องกลัว กลัวไปก็ไม่มีประโยชน์” แม้ว่าสมองของเขาจะเข้าใจ แต่เขาก็ยังจะกลับมากลัวอยู่ดี แต่เมื่อสมองกับหัวใจเป็นอันเหนึ่งอันเดียวกัน ขอให้พวกคุณพยายามเข้าใจประเด็นนี้ให้ดี ว่าสมองที่คุณใช้คิดเรื่องต่างๆ คือสิ่งที่ทำให้ใจ (มนัส) ของคุณได้เข้าใจและดูแลจัดการเรื่องนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ หากสมองของคุณสามารถกลายเป็นใจของคุณลองคิดดูว่าหากสภาวะนี้เกิดขึ้น เราก็จะมีเครื่องมือที่เป็นเหมือนคันเร่งของเครื่องยนต์อัตโนมัติ ที่ทั้งเบรกและคันเร่ง อยู่รวมกันในกลไกชิ้นเดียว เมื่อมันต้องการจะทำหน้าที่เป็นเบรกก็สามารถทำได้ เมื่อมันต้องการจะเป็นคันเร่ง มันก็ทำได้ ที่ยิ่งกว่านั้นคือกลไกนี้สามารถหยั่งรู้ได้ทุกเรื่อง

เมื่อสภาวะนี้มาถึง คุณก็จะกลายเป็นคุรุที่สมบูรณ์แบบ สภาวะนี้พวกเราทุกคนควรไปให้ถึง ปัจจุบันพวกคุณก็ได้พัฒนาไปมากแล้ว คุณได้ไปถึงระดับที่สูงพอควรทีเดียว กล่าวได้ว่าปัจจุบันคุณได้กลายเป็นศรีผล แต่แม่มักจะพูดดักทางถึงสิ่งที่รออยู่ข้างหน้าเสมอ เพราะว่าหากคุณจะต้องปีนต้นศรีผลนี้เพื่อขึ้นสู่ยอดของมัน ถามว่าคุณเคยเห็นวิธีที่คนอื่นใช้ปีนต้นไม้นี้หรือไม่ หากคุณดูวิธีปีนต้นศรีผล คุณจะเห็นเขาใช้วิธีผูกเชือกโอบรอบตนเองและต้นศรีผลาเอาไว้ หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เขยิบวงเชือกให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อเราเขยิบเชือกให้สูงขึ้น เชือกก็จะช่วยเป็นแรงดึงให้เขาปีนสูงขึ้น เช่นเดียวกัน ในขณะที่เราต้องขึ้นสูง (ทางจิตวิญญาณ) เราจะต้องคอยเขยิบเชือกของเราให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อคุณได้เรียนรู้เรื่องนี้แล้วเท่านั้น คุณจึงจะสามารถปีนต้นศรีผลาได้อย่างรวดเร็ว

แต่ส่วนใหญ่แล้ว เรามักจะเลื่อนเชือกให้ต่ำลงเสียมากกว่า ขนาดหลังจากที่ได้เข้ามาในสหจะโยคะแล้ว เราก็ยังคงเขยิบเชือกให้ต่ำลง และมาบอกแม่ว่า “คุณแม่ เราไม่เห็นจะก้าวหน้าขึ้นเลย ” ก็จะก้าวหน้าขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อพวกคุณเขยิบเชือกไปในทิศทางตรงกันข้าม และเตรียมการต่างๆ ที่จะลงจากต้น ศรีผลอยู่เรื่อยไป เวลาจะลงจากต้นไม้นั้น อันที่จริงคุณไม่ต้องใช้แรงช่วยจากเชือกเลยคุณก็ลงได้ แค่ปล่อยเชือกให้หลวมลงนิดหนึ่ง คุณก็จะร่วงลงมาเอง นี่คือสิ่งที่คุณทำเพื่อที่จะลงจากต้น แต่ถ้าจะปีนขึ้นสูง คุณจะต้องใช้ความพยายามเขยิบเชือก การที่จะทำอะไรให้สำเร็จ คุณจะต้องทำงานหนัก ในขณะที่การสูญเสียสิ่งที่คุณได้บรรลุถึงแล้วนั้น คุณไม่ต้องทำอะไร คุณก็หล่นร่วงลงดินมาได้แล้ว ถ้าคุณสามารถเข้าใจประเด็นนี้ได้ คุณจะตระหนักว่า “ต้องมองให้สูงขึ้นกว่าเดิมเสมอ ” หากยืนอยู่บนบันไดจะเป็นขั้นใดก็ตาม แต่สายตาของคุณมองสูงขึ้นไป แม้ว่าจะมีคนยืนอยู่สูงกว่าคุณ แต่สายตาของเขามองลงที่ต่ำ ในกรณีเช่นนี้คุณย่อมอยู่สูงกว่าเขาผู้นั้น นี่คือเหตุผลที่ทำไมแม้แต่โยคีที่อยู่มานานมากๆ แล้วอยู่ๆ ก็ตกต่ำลงอย่างกระทันหัน มีคนพูดกับแม่ว่า “คุณแม่ คนนั้นคนนี้เขาเป็นโยคีเก่าแก่อยู่กับท่านมาก็หลายปี ทำไมเขาจึงทำเช่นนั้นเช่นนี้ ” ก็สายตาของพวกเขามองลงสู่ที่ต่ำ แล้วจะให้แม่ทำอย่างไร หากสายตาพวกเขามองต่ำ พวกเขาก็ต้องร่วงลงมาเป็นธรรมดา ดังนั้น จงให้สายตาเรามองขึ้นสู่ที่สูงขึ้นไปกว่าเดิมอยู่เสมอ

ขนาดจะมองให้เห็นผลของต้นศรีผล เราก็ยังต้องมองสูงเอาไว้จึงจะเห็น แม้กระทั่งต้นศรีผลก็ต้องมุ่งขึ้นสู่ที่สูงขึ้น เพราะพวกมันรู้ว่ามันจะไม่สามารถเข้าถึงแสงสว่างจากสุริยะ ไม่สามารถทำงานของตนลุล่วง และไม่สามารถให้ผลศรีผลได้ ถ้าหากไม่มองสู่ที่สูง เราควรจะสังเกตและทำความเข้าใจพฤติกรรมของต้นไม้ คุณสามารถจะเรียนรู้สหจะโยคะได้เป็นอย่างดีจากการสังเกตต้นไม้ พวกมันเป็นคุรุที่ยิ่งใหญ่ของคุณ เวลาที่เรามองไปที่ต้นไม้ เราควรดูว่ามันหยั่งรากของมันอย่างไร ในขั้นแรกต้นไม้จะดูแลรากของมันให้หยั่งลงดินได้อย่างมั่นคงก่อน และในการหยั่งรากให้มั่นคงต้นไม้ทำอย่างไร? มันใช้วิธีให้รากแทรกลึงลงไป ในดินให้ได้ก่อน นี่คือธรรมะของเรา สติของเราจะต้องก้าวเข้าสู่สภาวะที่ลึกมากขึ้น และสติที่หยั่งรากลึกเช่นนั้นจึงจะสามารถดูดซับเอาพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ พูดอย่างนี้ดีกว่าว่า นี่คือต้นไม้ที่กลับหัวกลับหาง รากของต้นไม้เหล่านี้เริ่มดูดซับเอาพลังศักดิ์สิทธิ์ไว้ และหลังจากการดูดซับมันทำอย่างไรต่อไป? มันก็เติบโตสูงขึ้น และนี่คือวิถีการเติบโตของต้นศรีผล

สหัสราระของคุณก็มีลักษณะเหมือนกับศรีผล และเป็นสิ่งที่มีความหมายมากสำหรับพระแม่ และสหัสสาระนี้จะต้องถูกถวายให้แก่พระองค์ หลายคนพูดกับแม่เมื่อวานว่า “คุณแม่ พวกเราได้รับรู้ถึงพลังเย็น (พลังไวเบรชั่น) บนฝ่ามือ และยังรู้สึกที่เท้าด้วย แต่กลับไม่รู้สึกบนสหัสราระก็ “ใคร ” เล่าคือองค์ประธานของสหัสราระ? คุณต้องรู้ว่าพลังไวเบรชั่นเกิดขึ้นมาจากที่นี่ และ “องค์ประธาน” ที่สถิตอยู่ ณ สหัสราระก็คือ “ผล” ของทุกสิ่งทุกอย่าง รากของต้นไม้หยั่งลึก อยู่ที่ผืนดินเบื้องล่าง ก็เกิดมาจาก “ผลไม้” นั้น ทั้งลำต้นของต้นไม้ การทำงานหนัก การวิวัฒนาการเติบโต ทั้งหมดนี้ ท้ายที่สุดก็เกิดเป็น “ผล” (ไม้) ลูกเดียวกันนั้น แล้วคุณก็นำผลนี้ลงดิน ต้นไม้ก็จะเกิดและเติบโตขึ้นจากผลไม้นี้อีกครั้ง นี่คือความหมายของทั้งหมด นี่คือสิ่งสูงสุดของทั้งหมดในโลกทั้งหมด จนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงกระทำสิ่งใด ผลของการกระทำทั้งหมดของพระองค์ก็คือ มหาโยคะของวันนี้ แล้วใครกันที่เป็นองค์ประธาน (Swamini) ของมหาโยคะนี้ คุณก็ทราบอยู่แล้ว ดังนั้นในเวลาอันเป็นมงคลยิ่งนี้พวกคุณได้ลงมาเกิดบนโลกนี้ และได้เข้าถึงมหาโยคะนั้น ดังนั้นคุณควรจะทราบว่าคุณได้รับพรจากพระจ้า และควรจะกลายเป็นเหมือนกับ “ ศรีผล” คุณควรจะถวายผลของมหาโยคะนี้แก่เทวีอย่างศิโรราบ ผลไม้จะถูกปลิดออกจากต้นก็ต่อเมื่อผลนั้นสุกแล้ว มิฉะนั้นก็ไร้ประโยชน์ หากผลไม้นั้นยังไม่สุก ก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะถวายผลไม้นั้นให้แก่พระแม่ ดังนั้น จงพัฒนาวุฒิภาวะ จงละทิ้งพฤติกรรมแบบเด็กๆ หากคุณยังคงมีพฤติกรรมแบบเด็กๆ คุณก็ยังจะต้องติดอยู่กับต้น แต่หากจะถวายผลแก่พระแม่ จะมีประโยชน์อันใดที่จะใช้ผลไม้ที่ยังติดอยู่กับต้น การบูชาจะถือว่าสำเร็จลุล่วงก็ต่อเมื่อผลไม้ที่นำมาถวายถูกปลิดออกจากต้นแล้วเท่านั้น

ดังนั้น ต้นศรีผลจะทำให้คุณสามารถเข้าใจสหจะโยคะในเชิงของสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ อันที่จริงวันนี้ช่างเป็นวันที่ได้รับการประทานพรโดยแน่ เพราะพวกเราได้มารวมตัวกันในพิธีเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ โดยมีต้นศรีผลเหล่านั้นอยู่ด้วย ต้นศรีผลเหล่านี้สอดประสานกับทุกสิ่งทุกอย่าง พวกมันเต้นเป็นจังหวะ พวกมันสามารถรับฟังเสียง และเคลื่อนไหวไปในจังหวะเดียวกัน พวกมันสามารถเข้าใจความสำคัญของสิ่งทั้งหมดนี้ เช่นเดียวกันกับตัวคุณเองที่มี “ศรีผล” จงพัฒนาศรีผลของคุณให้สุก มีเพียงวิธีเดียวที่จะทำได้ นั่นคือ คุณจะต้องมีความสอดประสานกับหัวใจของคุณ สิ่งสำคัญคือคุณต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับหัวใจ ต้องไม่มีความแตกต่างระหว่างหัวใจกับสมอง “ความปรารถนาต้องมาจากใจ และผลสำเร็จมาจากสมอง” เมื่อหัวใจกับสมองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อนั้นคุณจึงจะสามารถได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ สำหรับคนธรรมดาทั่วไปสหจะโยคะเป็นเรื่องลึกลับยิ่ง พวกเขาไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เพราะชีวิตประจำวันของพวกเขาอยู่อีกระดับหนึ่ง พวกเขากระทำสิ่งต่างๆ อยู่ในระดับนั้น แต่ระดับของพวกคุณต่างออกไป คุณจะต้องใช้ชีวิตให้เหมาะกับระดับของตัวคุณเอง เวลาที่คุณมองไปยังคนอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นการมองด้วยความเมตตากรุณา เพราะว่า คนที่น่าสงสารเหล่านี้จะเป็นอย่างไร? จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา? พวกเขากำลังจะไปที่ไหน? พวกเขาเองก็ยังไม่เข้าใจ? พวกเขากำลังอยู่ในสภาวะใด? พวกเขาจะมีเส้นทางไปจบอยู่ที่ใด? จงเข้าใจเรื่องนี้ พวกคุณจะต้องพยายามเข้าใจว่า หากอธิบายให้พวกเขาเข้าใจสหจะโยคะก็จะเป็นการดี พยายามทำให้พวกเขาเข้าใจ แต่หากพวกเขาไม่สนใจ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องไปหัวเสียให้กับพวกเขา ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องไปทำร้าย “ศรีผล” ของตนเอง จงรักษา “ศรีผล” ของตนเองไว้ให้ปลอดภัย เพราะมันมีหน้าที่ที่สูงกว่านั้น ที่คุณมีศรีผลก็เพื่อวัตถุประสงค์ที่สูงมากกว่านั้น ดังนั้นจงรักษาศรีผลไว้ในระดับที่สูง และคุณจะรู้สึกว่าคุณได้รับพรจากพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อคุณได้บรรลุถึงสภาวะอันยิ่งใหญ่หาสิ่งใดมาเปรียบเทียบมิได้แล้วเท่านั้น

ดังนั้นจงอย่าหัวเสีย (อย่าใส่ใจ) ไปกับเรื่องไร้สาระไม่มีประโยชน์ที่จะไปโต้เถียงกับใครทั้งสิ้น แต่คุณต้องรักษาสภาวะของคุณไว้ และคุณต้องไม่ตกต่ำลงไปกว่าเดิม เมื่อสภาวะนี้เกิดขึ้น (หัวใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสมอง) การปล่อยวางในระดับที่คุณยังไม่เคยบรรลุได้ก็จะเกิดขึ้น การซีมซับเรื่องต่างๆ ที่ยังไม่เคยเกิดก็จะเกิด พัฒนาการเติบโตแบบที่ยังไม่เคยเกิดก็จะเกิด การเป็นนายของตนเอง และการเติบโตอย่างสมบูรณ์แบบที่ไม่เคยไปถึงก็จะเกิดขึ้น ดังนั้น จงอย่าได้หลงคิดผิดๆ ว่า “ฉันได้กลายเป็นสหจะโยคีผู้ยิ่งใหญ่ หรืออะไรก็ตามแล้ว” เมื่อคุณมีความยิ่งใหญ่ คุณจึงต้องอ่อนน้อมถ่อมตน คุณจะอ่อนน้อมถ่อมตนโดยอัตโนมัติ ดูต้นไม้เหล่านี้ซิ สายลมพัดผ่านในทิศตรงกันข้าม ดังนั้นจริงๆ แล้ว ตันไม้นี้ควรจะเบนค้อมไปตามทิศทางของกระแสลม แต่ดูสิว่าต้นศรีผลโน้มต้นลงไปในทิศทางใด? คุณเคยสังเกตบ้างหรือไม่ว่า ต้นศรีผลทั้งหมดหันยอดไปในทิศไหน? เพราะเหตุใด? ทั้งที่กระแสลมพัดมาจากทิศนั้น และผลักดันต้นศรีผล กระนั้นทำไมต้นศรีผลยังคงโน้มต้นลงไปในทิศทางเดียวกันทุกต้น และหากไม่มีกระแสลมคอยพัดต้านไว้ ต้นไม้เหล่านี้ไม่รู้จะโน้มลงอีกสักเท่าใด

ต้นไม้เหล่านี้รู้ว่าทะเลก็คือผู้ที่มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ ดังนั้นพวกมันจึงน้อมต้น เพื่อทำการคารวะต่อทะเลอย่างอ่อนน้อมยิ่ง และผู้ที่เป็น “ผู้ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง” ก็คือ “ธรรมะ” “ธรรมะ” นี้อยู่ภายในตัวเรา และเมื่อใดก็ตามที่ “ธรรมะ” นี้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อใดก็ตามที่ธรรมะนี้สำแดงตนออกมาอย่างเต็มรูปแบบ เมื่อนั้น ผลของต้น “ ศรีผล” ที่อยู่ภายในตัวเราก็จะมีทั้งความหวานความสวยงาม และเต็มไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และแล้วโลกทั้งโลกจะได้รู้จักว่าคุณคือใคร โดยดูจากชีวิตของคุณมิใช่รู้จักจากสิ่งอื่นใด คุณเฉลิมฉลองวันเกิดของสหัสราระมา ๑๔ ครั้งแล้ว และคุณจะได้เฉลิมฉลองอีกกี่ครั้ง ทุกครั้งที่คุณเฉลิมฉลองวันเกิดของสหัสราระ จักรสหัสราระของคุณก็จะเปิดและเติบโตมากยิ่งขึ้น

การยอมประนีประนอม การผ่อนปรนให้กับตนเอง ในเรื่องใดก็ตาม มิใช่วิถีประพฤติของสหจะโยคี บุคคลที่เป็นโยคีควรจะต้องเดินทางไปข้างหน้าบนหนทางของตนอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว อุปสรรคต่างๆ ใดๆ ไม่ว่าจะเป็นญาติ ครอบครัว สิ่งนั้น สิ่งนี้ สิ่งเบี่ยงเบนล่อใจไร้สาระ ไม่มีความหมายใดๆ เลย สิ่งเหล่านี้อยู่กับพวกคุณมานับพันภพชาติแล้ว แต่ในภพชาตินี้ คุณได้ประสบความสำเร็จ และเมื่อคุณทำสำเร็จหากผู้อื่นจะสามารถเข้าถึงได้ด้วย ก็จะเป็นโชคดีของพวกเขา หากเขาไม่สามารถจะทำได้ พวกคุณจะช่วยฉุดพวกเขาขึ้นมาหรือไม่ เรื่องมีอยู่ว่า ถ้าหากพวกคุณจะต้องลงไปในทะเล โดยมีหินก้อนใหญ่ ผูกติดอยู่กับขาของคุณ และคุณก็ร้องขอต่อทะเลว่า “ขอได้โปรดช่วยข้าพเจ้าให้ว่ายข้ามไปได้ด้วยเถิด” เช่นนี้ ทะเลก็จะตอบว่า “ขั้นแรก” จงปลดเอาหินที่ผูกติดกับเท้าเจ้าออกไปก่อน มิฉะนั้น เราจะช่วยประคองเจ้าข้ามทะเลได้อย่างไร? ก็ในเมื่อเท้าของคุณยังมีหินก้อนใหญ่หลายก้อนผูกติดอยู่ ทางที่ดีคุณก็ควรขจัดมันออกก่อน และถ้าหากคุณไม่สามารถที่จะตัดเชือกออกได้ อย่างน้อยที่สุด จงนำตนเองออกห่างจากมัน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่คุณนำมาผูกติดกับเท้าของคุณ คุณต้องสลัดออกและก้าวสูงขึ้นไป จงบอกพวกเขาว่า “พวกคุณอยากจะทำอะไรก็ทำเถิด แต่จงอย่ามายุ่งกับเราเลย” เพราะยังมีสิ่งไม่ดีทั้งหลายอยู่อีกมากมาย การยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งไม่ดีต่างๆ โดยไม่จำเป็น เป็นเรื่องที่หาประโยชน์อันใดมิได้

จงดูวิธีที่ต้นศรีผล นำผลที่แสนจะหนักอึ้งไปไว้ในที่สูงมากๆ ผลไม้นี้ มีน้ำหนักเพียงใด เพราะมันมีน้ำอยู่ในผลด้วย กระนั้นต้นศรีผลก็ยังเก็บผลไม้ของมันไว้ที่สูง เฉกเช่นเดียวกันพวกคุณก็ต้องรักษาศีรษะของคุณ (สมอง) ให้อยู่ในที่สูง และขอให้ระลึกไว้ด้วยว่าศีรษะของคุณ จะต้องน้อมเคารพไปยังทะเล และทะเลนี้ก็คือ “ธรรมะ” ศีรษะของคุณจะต้องน้อมคำนับไปยัง “ธรรมะ” ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง สหจะโยคีจำนวนมากไม่เข้าใจเลยว่า ตราบใดที่เรายังไม่ตั้งมั่นในธรรมะ เราก็ยังไม่สามารถเป็นสหจะโยคีได้ พวกเขาเหล่านี้ยงคงกระทำความผิดชนิดต่างๆ มากมาย อย่างเช่น โยคีหลายคนยังสูบบุหรี่ ยังดื่มเหล้า ยังทำสิ่งเหล่านี้แล้วก็พูดว่า “เรายังไม่พัฒนาขึ้นในสหจะโยคะ” ก็จะก้าวหน้าได้อย่างไร ในเมื่อตัวคุณเองยังทำร้ายชีวิตของคุณเอง มีกฎเกณฑ์ง่ายๆ ในสหจะโยคะ แสนจะง่ายและตรงไปตรงมา และคุณก็ได้รับพลังอำนาจให้ปฏิบัติตามกฎเหล่านี้แล้วด้วย คุณจะต้องนำกฎเกณฑ์เหล่านี้มาปฏิบัติในชีวิตประจำวันในวิถีปฏิบัติของคุณ สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่แสดงออกมาจากการโน้มตัวลงคำนับทะเลของต้นศรีผลก็คือ การโค้งคำนับด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ด้วยความเคารพภักดี และด้วยการทำให้ความรักส่องแสงสว่างจากภายใน แม้ว่าเราจะได้ปล่อยวางความรักให้กับพระเจ้า แต่เมื่อเราได้รับทุกสิ่งทุกอย่างจากพระเจ้า เราควรจะต้องระลึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องมีความรักให้กับทุกๆ คนด้วย

ท้ายที่สุด สรุปได้ว่าหากสมองหรือสหัสราระปราศจากซึ่งความรัก แม่จะไม่สถิตอยู่ที่นั่น ในจิตของเราควรจะมีเพียงความคิดเรื่องความรัก และทำอย่างไรจึงจะแผ่ขยายความรักหรือแสดงความรักนั้นให้ปรากฎเท่านั้น และหากคุณพิจารณาเรื่องนี้ให้ลึกซื้ง คุณก็จะรู้ว่าแม่กำลังพูดเรื่องเดิม คือ “ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถทำให้หัวใจของเราเต็มไปด้วยความรัก?” เราควรจะพิจารณาแต่เรื่อง “ข้าพเจ้าจะทำอย่างไร นี่คือความรักหรือไม่?” “สิ่งนี้ที่เราทำทำด้วยความรักหรือไม่?” “ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพเจ้าทำได้ทำไปด้วยความรักหรือไม่” อันที่จริงหากคุณตีใครซักคนด้วยความรัก ก็ย่อมจะทำได้ไม่เป็นไร หากมีเรื่องไม่ถูกต้องเกิดขึ้น เราสามารถจัดการคนๆ นั้นได้ แต่จะต้องดูว่าเราทำไปด้วยความรักหรือไม่? เทวีก็ได้เคยสังหารบรรดารากษส (Rakshasas) มาแล้วมากมายหลายตน แต่แม้กระทั่งการสังหารนั้นก็ทำไปด้วยความรัก แม้กระทั่งอสูร เทวีก็ยังรักพวกเขา เพื่อที่อสูรเหล่านี้จะไม่ตกต่ำลงจากยักษ์ธรรมดากลายเป็นมหายักษ์ และด้วยความรักที่เทวีมีต่อผู้ภักดีต่อท่าน เพื่อที่จะปกป้องพวกเขา เทวีจึงต้องสังหารบรรดายักษ์มารเหล่านั้น ด้วยอำนาจอันไร้ขอบเขตจำกัด (Ananti Shakti) ของเทวี เทวีก็ยังใช้อำนาจแสดงออกแต่ความรักเท่านั้น สิ่งที่จะยังประโยชน์ให้แก่พวกยักษ์มารเหล่านี้อย่างแท้จริงก็คือความรัก

ดังนั้นพวกคุณได้แสดงออกซึ่งความรักประเภทที่จะยังประโยชน์ให้กับผู้อื่นหรือยัง ต้องพิจารณาเรื่องนี้ด้วยหากคุณกำลังแสดงออกซึ่งความรักได้จริง เมื่อนั้นคุณก็สามารถจะบรรลุถึงสิ่งที่แม่ได้พูดมาทั้งหมด นั่นคือการมีความสอดประสานระหว่างหัวใจและสมอง ซึ่งพวกคุณควรจะบรรลุถึงให้ได้ การสอดประสานดังกล่าวได้พัฒนาขึ้นในตัวคุณแล้ว สิ่งที่เป็นพลังอำนาจ (Shakti) นั้นมีอยู่เพียงประการเดียว ซึ่งเราอาจจะเรียกสิ่งนั้นว่า ความรัก และความรักเท่านั้นที่สร้างสรรค์จัดแต่งทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเป็นระบบสวยงามยิ่ง สิ่งใดก็ตามที่เป็นเพียงความคิดอันแห้งแล้ง (dry thought) ย่อมปราศจากความหมายใดๆ และพวกคุณก็ทราบว่า “ความคิดอันแห้งแล้ง” นั้นเกิดมาจาก อีโก้ ประการที่สองคือสิ่งที่เกิดมาจากซูเปอร์อีโก้อาจจะดูสวยงามจากภายนอก แต่ภายในกลับกลวงว่างเปล่า ดังนั้น สิ่งหนึ่งทั้งสกปรกทั้งแห้งแล้ง อีกสิ่งหนึ่งดูสวยงามแต่ไม่สามารถจะให้ปีติสุขใดๆ ดังนั้นจึงว่างเปล่า
สิ่งหนึ่งปราศจากปีติ สิ่งหนึ่งไร้สาระว่างเปล่า
ข้างหนึ่งก็ปราศจากปิติสุข อีกข้างหนึ่งก็ไร้สาระแก่นสาร
การสอดประสานกันของทั้งสองสิ่ง จะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะทั้งสองเป็นสิ่งที่อยู่ขั้วตรงข้ามกันและกัน

ทว่าหลังจากการตระหนักรู้ในตนเอง และหลังจากการเข้ามาในสหจะโยคะ คุณสมบัติที่แตกต่างกันทั้งหมดจะมลายหายไป และทั้งสองสิ่งที่ดูเหมือนจะอยู่ตรงข้ามกันกลับกลายเป็นสองด้านของเหรียญอันเดียวกัน และสิ่งนี้ควรจะต้องเกิดขึ้นภายในตัวคุณ เราจะได้ชื่อว่าได้เฉลิมฉลองครบรอบ ๑๔ ปี ของสหัสราระได้อย่างสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นกับตัวเราเท่านั้น

ขอพระเจ้าประทานพรแก่คุณ

ในวาระอันเป็นศิริมงคลยิ่งนี้ ในนามของแม่เอง ในนามของเหล่าเทพเทวดา และในนามของปรมาตมัน ขอพรอันเป็นนิรันดร์จงมีแก่พวกคุณทุกคน