มหาศิวะราตรีบูชา
ปันดาร์ปูร
๒๙ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๘๔ (พ.ศ. ๒๕๒๗)
ในยุคสมัยนี้ แม้แต่สถานที่ซึ่งควรเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ กลับกลายเป็นที่ซึ่งขาดความศักดิ์สิทธิ์อย่างถึงที่สุด สภาพการณ์ในทุกวันนี้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ และเมื่อเราพยายามจะพัฒนาบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญยิ่ง กลับต้องทำเหมือนหน่ออ่อนของต้นไม้ที่ต้องแทงยอดขึ้นมาจากก้อนหิน หน่ออ่อนนี้จะต้องต่อสู้ฟาดฟันกับสารพัดสิ่ง ดังนั้นเราจึงต้องระวังรักษาสมองของเราไม่ให้ถูกกระทบจากสิ่งภายนอก เราต้องใช้วิจารณญาณทำความเข้าใจเกี่ยวกับทุกเรื่องและพยายามหาทางบรรลุเป้าหมายโดยใช้ความอดทนและความเข้าอกเข้าใจ ประเด็นนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
แม่คิดว่าวันนี้เป็นวันที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเราทุกคนเพราะสถานที่แห่งนี้คือที่สถิตของวิราฏ ของศรีวิฐละ สถานที่แห่งนี้ ศรีวิฐละปรากฎพระองค์ต่อหน้าบุตรชายกตัญญูที่อ้อนวอนขอให้พระองค์ยืนอยู่บนก้อนอิฐ พระองค์ทรงยืนรออยู่ที่นั่น ผู้คนเชื่อว่าพระองค์ยืนอยู่ที่นั่น บางคนก็บอกว่ารูปเหมือนของศรีวิฐละผุดขึ้นมาจากพระแม่ธรณีที่เป็นผืนทราย แต่ปุณฑรีกากษะยืนยันว่า “รูปเหมือนของศรีวิฐละเหล่านี้คือศรีวิฐละซึ่งปรากฎพระองค์ต่อข้าพเจ้าและบิดามารดาของข้าพเจ้า ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังมัววุ่นอยู่กับการดูแลบิดามารดา ศรีวิฐละจึงยืนรออยู่บนก้อนอิฐที่ข้าพเจ้าปาออกไป (และขอให้ท่านยืนรอที่นั่นก่อน)” เราจะต้องใช้สามัญสำนึกทำความเข้าใจเรื่องเล่าเก่าแก่นี้ ต้องเข้าใจว่าพระผู้เป็นเจ้าสามารถก่อให้เกิดปาฏิหาริย์ต่างๆ นานา เราเองซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นก็กำลังกระทำอย่างเดียวกับพระองค์ คือกำลังกระทำสิ่งที่ดูเหมือนเป็นปาฏิหาริย์สำหรับคนที่มีชีวิตอยู่เมื่อสัก ๑๐๐ กว่าปีมาแล้ว ถ้าจะว่าไป วันนี้เราได้เห็นปาฏิหาริย์ต่างๆ มากมายซึ่งมนุษย์เมื่อ ๑๐๐ ปีที่แล้วจะไม่มีทางคาดถึงได้ว่าพวกเราจะสามารถจัดพิธีบูชาขึ้นในถานที่อันแสนจะไกลโพ้นเช่นนี้ แต่ปาฏิหาริย์เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า และพวกเราก็เป็นส่วนเล็กๆ มากส่วนหนึ่งของการสร้างปาฏิหาริย์นั้น ปาฏิหาริย์ของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ และไม่ควรจะต้องได้รับการอธิบาย เพราะปาฏิหาริย์เหล่านี้อยู่เหนือความสามารถของมนุษย์ที่จะเข้าใจ หรือพระผู้เป็นเจ้าสามารถทำสิ่งใดก็ได้เพื่อให้มนุษย์รับรู้ถึงการมีอยู่ของพระองค์
พระองค์สามารถเคลื่อนย้ายเข้าไปยังทั้งสามมิติ แม้กระทั่งในมิติที่สี่ พระองค์ก็สามารถทำได้ตามความปรารถนา และนี่ก็คือสิ่งที่พวกคุณสามารถพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน เกิดปาฏิหาริย์ให้พวกคุณได้เห็นกี่ครั้งกี่หนแล้ว แต่พวกคุณก็ยังไม่สามารถจะเข้าใจได้ว่าปาฏิหาริย์เหล่านี้ทำงานอย่างไร ปาฏิหาริย์เหล่านี้สามารถส่งผลได้แม้กับสิ่งที่ไม่มีชีวิต ผู้คนยังคงประหลาดใจว่าปาฏิหาริย์เหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร หลังจากที่ได้ประสบพบเห็นปาฏิหาริย์ต่างๆ ด้วยตนเองมาแล้ว พวกเราจึงต้องมีศรัทธาเชื่อมั่นได้แล้วว่าพระองค์คือพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด
พระองค์จะทรงกระทำสิ่งใดก็ได้ทั้งสิ้นตามความปรารถนา ส่วนพวกเรานั้นเป็นเพียงละอองฝุ่นเมื่อเทียบกับพระองค์ เราไม่มีทางที่จะใช้เหตุผลในการเข้าใจปาฏิหาริย์ของพระองค์ได้ จะเป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร ไม่มีทางอธิบายได้ จะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อพวกคุณได้บรรลุถึงสภาวะจิตที่มีศรัทธามั่นคงว่าพระผู้เป็นเจ้าคือผู้ทรงพลังอำนาจในทุกๆ เรื่องโดยผ่านประสบการณ์ของคุณเท่านั้น ซึ่งแนวคิดนี้ยากยิ่ง นั่นเป็นเพราะเรายังเป็นมนุษย์ที่มีข้อจำกัด เรามีพลังอำนาจที่จำกัด เราไม่สามารถเข้าใจได้ว่าพระผู้เป็นเจ้าจะมีพลังอำนาจในทุกๆ ด้านได้อย่างไร ก็เพราะตัวเราเองยังไม่อาจจะบรรลุสภาวะนั้น ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าที่เรากำลังพูดถึงซึ่งคือพระผู้สร้าง ผู้จรรโลงรักษา ผู้ปรารถนาให้พวกเรามีอยู่และพระองค์คือการดำรงอยู่ของพวกเรา คือพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงพลังอำนาจเหนือสิ่งอื่นใด มีพลังอำนาจในทุกๆ ทาง พระองค์จะกระทำอย่างไรกับพวกคุณก็ได้ตามความปรารถนาของพระองค์ พระองค์จะสร้างโลกทั้งโลกขึ้นมาใหม่ก็ได้ พระองค์จะทำลายโลกใบนี้ทั้งใบลงก็ได้ สุดแท้แต่ความปรารถนาของพระองค์
ที่แม่ให้จัดพิธีศิวบูชาขึ้นที่ปันดาร์ปุระก็เพราะพระศิวะคือตัวแทนของจิตวิญญาณ และจิตวิญญาณก็สถิตอยู่ในพวกคุณทุกคน โดยสถิตอยู่ที่หัวใจ บัลลังก์ของสทาศิวะนั้นอยู่ที่เหนือศีรษะของคุณ และในขณะเดียวกันก็สะท้อนอยู่ในหัวใจของคุณ ส่วนสมองของคุณคือวิฐละ ดังนั้นการนำจิตวิญญาณมายังสมองหมายถึงการรู้แจ้งของสมอง “การรู้แจ้งของสมอง” หมายถึง สมรรถนะที่จำกัดของสมองได้กลายเป็นสมรรถนะที่ไร้ขอบเขตจำกัดในการที่จะตระหนักรู้ถึงพระเจ้า แม่จะไม่ใช้คำว่า “เข้าใจ” พระเจ้า แต่จะใช้คำว่า “ตระหนักรู้ถึงพระเจ้า” ว่าพระองค์ทรงพลังอำนาจเพียงใด พระองค์ทรงเป็นปาฏิหาริย์ขนาดไหน และพระองค์ทรงยิ่งใหญ่เพียงใด อีกเรื่องหนึ่งคือ สมองของมนุษย์สามารถสร้างสรรค์แต่สิ่งที่ไม่มีชีวิต แต่เมื่อจิตวิญญาณเข้ามาประทับอยู่ที่สมองแล้ว มนุษย์เช่นพวกคุณก็จะสามารถสร้างสิ่งที่มีชีวิตขึ้นมาได้ เป็นงานที่มีชีวิตของพลังกุณฑลินี แม้แต่สิ่งที่ไร้ชีวิตก็จะเริ่มทำตัวเหมือนมีชีวิต เพราะคุณสามารถสัมผัสถึงจิตวิญญาณในสิ่งที่ไม่มีชีวิตได้
เช่นเดียวกับที่ทุกๆ อะตอมมีนิวเคลียสอยู่ภายใน แต่ละโมเลกุลก็มีจิตวิญญาณของโมเลกุลนั้นๆ และถ้าหากคุณกลายเป็นจิตวิญญาณแล้ว เราสามารถกล่าวได้ว่าสมองของโมเลกุลและอะตอมก็คือนิวเคลียส คือร่างกายของนิวเคลียส แต่สิ่งที่ควบคุมนิวเคลียสอีกทีก็คือ “จิตวิญญาณ” ซึ่งสถิตอยู่ภายในนิวเคลียสนั้น ขณะนี้พวกคุณสามารถสัมผัสรู้ รู้กายภาพของนิวเคลียสทั้งหมด และภายในนิวเคลียสนั่นก็คือ “จิตวิญญาณ”
ในทำนองเดียวกัน มนุษย์มีกายนี้ มีการสัมผัสรู้ถึงกายนี้ และเราก็มีนิวเคลียสอยู่ในตนเองก็คือสมอง และ “จิตวิญญาณ” อยู่ในหัวใจ ดังนั้น สมองถูกควบคุมสั่งการโดยจิตวิญญาณ ควบคุมอย่างไร? รอบๆ หัวใจของเรามีรัศมีอยู่ ๗ ชั้น ซึ่งสามารถเพิ่มจำนวนทวีคูณขึ้น เป็นจำนวนเท่าไรก็ได้ รัศมี ๗ ชั้นสามารถขยายเป็น ๑๖,๐๐๐ ซึ่งคอยเฝ้าดูจักรทั้ง ๗ นำไปสู่พลังทั้ง ๑๖,๐๐๐
“จิตวิญญาณ” ที่กล่าวถึงจะเฝ้าดูผ่านรัศมีเหล่านี้ จะเฝ้าดู แม่ขอบอกอีกครั้งว่าจิตวิญญาณจะ “เฝ้าดู” ผ่านรัศมีรอบๆ หัวใจ รัศมีเหล่านี้จะเฝ้าดูพฤติกรรมของจักรทั้งเจ็ดที่อยู่ในสมองของคุณ เฝ้าดูเส้นประสาทต่างๆ ที่ทำงานอยู่ในสมอง “เฝ้าดู” แม่ขอย้ำอีกครั้ง
แต่เมื่อคุณสามารถนำ “จิตวิญญาณ” เข้ามาสู่สมองของคุณได้ คุณก็จะอยู่ในสภาวะ “ก้าวกระโดด ๒ ขั้น” เพราะเมื่อพลังกุณฑลินีตื่นขึ้น พลังจะเชื่อมต่อกับสทาศิวะ และสทาศิวะก็จะให้ข้อมูลกับ “จิตวิญญาณ” “การให้ข้อมูล” หมายถึงการเป็นกระจกสะท้อนจิตวิญญาณ ดังนั้น ในขั้นแรก รัศมีรอบหัวใจที่เฝ้าดูจะเริ่มสื่อสารกับจักรต่างๆ ที่อยู่ในสมองของคุณและเริ่มบูรณาการจักรเหล่านั้นให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ขั้นที่สองคือ เมื่อคุณสามารถนำ “จิตวิญญาณ” เข้ามาสู่สมอง เมื่อถึงขั้นนี้คุณถึงจะสามารถกลายเป็นผู้ที่ได้รับการตระหนักรู้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเมื่อถึงสภาวะนั้น “ตัวคุณ” ซึ่งก็คือจิตวิญญาณจะกลายเป็นสมองของคุณที่สั่งการ ทำให้การกระทำทุกอย่างเป็นไปอย่างมีพลวัต (dynamic) การที่ “จิตวิญญาณ” สามารถเข้าไปสู่สมองเป็นการเปิด “มิติที่ ๕” ขึ้นในตัวมนุษย์
เมื่อคุณได้รับการตระหนักรู้จนกลายเป็นผู้ที่มีสติรู้ในระดับกลุ่มทั้งหมด (collectively conscious) และพลังกุณฑลินีขึ้นแล้ว ถือว่าคุณได้ข้ามเข้ามาอยู่ในมิติที่ ๕ แต่เมื่อ “จิตวิญญาณ” ของคุณสามารถเข้าสู่สมองของคุณ ในระดับนั้น คุณจะกลายเป็น “มิติที่ ๕” หมายถึงคุณจะกลายเป็นผู้กระทำ (Doer) ยกตัวอย่างเช่น ในสภาวะปัจจุบัน หากสมองของเราสั่งการว่า “จงยกสิ่งนี้ขึ้น” คุณก็จะเอามือของคุณไปจับของสิ่งนั้น และยกมันขึ้นมา คุณคือผู้กระทำ แต่เมื่อสมองกลายเป็น “จิตวิญญาณ” แล้ว “จิตวิญญาณ” คือผู้กระทำ และเมื่อจิตวิญญาณคือผู้กระทำ คุณก็จะกลายเป็นศิวะอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นผู้ได้รับการตระหนักรู้อย่างสมบูรณ์ ในขั้นนี้ ถ้าคุณเกิดโทสะ คุณก็จะไม่ยึดติดกับมัน คุณจะกลายเป็นคนที่ไม่ยึดติดกับสิ่งใดเลยทั้งสิ้น ถ้าหากคุณเป็นเจ้าของสิ่งของต่างๆ คุณก็จะไม่ยึดติดกับมัน คุณไม่สามารถจะยึดติดได้เพราะ “จิตวิญญาณ” ก็คือ “การไม่ยึดติดสิ่งใด” (Spirit is detachment.) เป็นการไม่ยึดติดอย่างสมบูรณ์แบบ คุณจะไม่ใส่ใจกับการยึดมั่นถือมั่นใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่วินาทีเดียว คุณก็จะยึดติดไม่ได้
ถึงจุดนี้แม่ขอบอกพวกคุณว่า การที่จะเข้าใจการไม่ยึดติดสิ่งใดของจิตวิญญาณได้ เราจะต้องศึกษาพิจารณาตนเองให้ถ่องแท้ชัดเจนว่า “เราเกิดการยึดมั่นถือมั่นขึ้นได้อย่างไร” ประการแรก เรายึดติดเพราะสมองของเราเอง ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะสมอง เป็นเพราะเงื่อนไขอุปาทานที่อยู่ในสมองของเรา เป็นเพราะอีโก้ที่อยู่ในสมองของเรา อารมณ์ยึดมั่นถือมั่นของเราเกิดขึ้นผ่านสมอง เงื่อนไขอุปาทานของเราทั้งหมดก็อยู่ในสมอง และการยึดติดแบบมีอีโก้ของเราก็เกิดขึ้นในสมอง นี่เป็นเหตุที่หลังการตระหนักรู้พวกคุณจะต้องพยายามปฏิบัติตามศิวะตัตวะ (แก่นแท้แห่งพระศิวะ) ด้วยการหัดปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลาย
แล้วพวกคุณจะหัดปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นได้อย่างไร?
เพราะเวลาที่เรายึดมั่นถือมั่นกับบางสิ่งบางอย่าง แม้ว่าจะจริงอยู่ที่เป็นการยึดติดผ่านสมองของเรา แต่อันที่จริงแล้วการยึดติดนั้นเกิดขึ้นผ่านสติของเราต่างหาก ดังนั้นเราจึงต้องพยายามทำในสิ่งที่เรียกว่า “จิตนิโรธ” (Chitta Nirodh) ซึ่งหมายถึงการควบคุมสติของคุณ (เวลาที่คุณแม่ใช้คำว่า จิต (chitta)นั้นจะใช้สลับกับคำว่า สติ (attention) กล่าวคือ Chitta หมายถึง สติหรือการที่จิตของเราไปใส่ใจกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง–ผู้แปล) สติเราตอนนี้อยู่ที่ไหน ไปใส่ใจเรื่องอะไร ในการฝึกสหจะโยคะ ยิ่งคุณขึ้นสูงเท่าไร คุณก็ยิ่งต้องพัฒนาปรับปรุงเครื่องมือของคุณเอง ไม่ใช่เครื่องมือของคนอื่นๆ นี่คือสิ่งที่พวกคุณควรจะตระหนักไว้ให้ดี
คุณเพียงแต่ต้องคอยเฝ้าดูสติของคุณว่ามันไปอยู่ที่ใด เฝ้าดูตนเองให้ดี ทันทีที่คุณเริ่มเฝ้าดู “ตนเอง” เฝ้าดูสติของคุณ คุณจะกลายเป็นหนึ่งกับจิตวิญญาณ เพราะในเวลาที่คุณดูสติของคุณ คุณจะต้องกลายเป็นจิตวิญญาณก่อน มิฉะนั้นคุณจะเฝ้าดูสติของคุณได้อย่างไร? ลองทำดู “ขณะนี้สติของพวกคุณไปอยู่ที่ใด?” สิ่งแรกเลยคือความยึดมั่นถือมั่นของคุณที่มีต่อร่างกายของคุณเอง พระศิวะท่านไม่เคยรู้จักเรื่องการยึดมั่นถือมั่นต่อกายเนื้อนี้ ท่านจะนอนที่ไหนก็ได้ ในป่าช้าก็นอนได้ เพราะท่านไม่ยึดติด ท่านไม่มีทางที่จะถูกรบกวนหรือครอบงำโดยภูตผีวิญญาณหรือสิ่งอื่นใด ไม่มีเลยจริงๆ เพราะท่านปราศจากการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด เราจะเฝ้ามองและจะเห็นการปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นของเราได้ก็ด้วยการดู “ความยึดมั่นถือมั่นของเราเอง” โดยในขณะนี้คุณยังถึงขั้นที่เป็นเพียงวิญญาณที่ตระหนักรู้ คุณยังไม่ใช่จิตวิญญาณ จิตวิญญาณยังไม่ได้เข้ามาสู่สมองของคุณ แม้ว่าคุณจะเป็นวิญญาณที่ตระหนักรู้แล้ว
ดังนั้น อย่างน้อยสิ่งที่คุณสามารถทำได้ในขณะนี้คือการเฝ้าดูสติของคุณเอง คุณสามารถทำได้ คุณสามารถเฝ้าดูสติของคุณได้อย่างชัดเจน โดยการเฝ้าดูว่าสติของคุณไปอยู่ที่เรื่องใด หลังจากนั้นคุณก็จะสามารถควบคุมสติของคุณได้ เป็นเรื่องที่ง่ายมากในการควบคุมสติ คุณก็เพียงแต่ต้องถอนสติของคุณจากเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง พยายามปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญในชีวิต ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คุณต้องลงมือทำเดี๋ยวนี้ หลังจากได้รับการตระหนักรู้แล้ว คุณจะต้องปล่อยวางการยึดมั่นถือมั่นให้หมด เริ่มจากความสะดวกสบายของร่างกาย พยายามทำให้ร่างกายต้องอึดอัดบ้างเล็กน้อย อะไรที่คุณคิดว่าทำให้ร่างกายของคุณสะดวกสบาย คุณก็ลองทำให้ไม่สะดวกสบายบ้าง นี่คือเหตุผลที่คนเดินทางไปภูเขาหิมาลัยกัน คุณจะเห็นได้ว่าการมาจัดพิธีบูชาที่นี่ก็สร้างความยากลำบากให้เรามากมาย ลองจินตนาการว่าจะเป็นอย่างไรหากเราต้องไปที่หิมาลัย ดังนั้น หลังจากได้รับการตระหนักรู้แล้ว ผู้คนถึงต้องเดินทางด้วยกายนี้ไปยังหิมาลัยกัน
ลองทำเช่นนั้นแล้วดูสิว่า คุณจะทำอย่างไร ตอนนี้สิ่งที่เรียกว่าการบำเพ็ญทุกรกิริยาหรือตบะเริ่มขึ้นแล้ว อันที่จริงคุณสามารถบำเพ็ญตบะได้ง่ายมากเพราะคุณเป็นวิญญาณที่ได้รับการตระหนักรู้แล้ว พยายามทำด้วยความสนุกสนานโดยเฉพาะการให้กายนี้ได้รับความลำบากบ้าง สำหรับพระศิวะแล้ว ไม่มีอะไรทำให้ท่านลำบากได้ ไม่ว่าท่านจะอยู่ในป่าช้าหรือจะอยู่ที่เขาไกรลาสอันเป็นที่ประทับของท่านหรือที่ใดก็ตาม
สติของคุณอยู่ที่ใด? ปกติสติของมนุษย์โดยทั่วไปใช้ไม่ได้เลย เป็นสติที่ไปหมกมุ่นกับเรื่องราวที่ไร้สาระโดยสิ้นเชิง “เราทำเรื่องนี้ไปก็เพราะเหตุนี้” มีข้ออ้างมีคำอธิบายแก้ตัวอยู่เสมอ หรือไม่คนอื่นๆ ก็ช่วยแก้ตัวให้ จริงๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างหรือข้อแก้ตัว ไม่จำเป็นต้องอธิบาย การมีชีวิตอยู่โดยไม่มีข้ออ้างหรือคำอธิบายเพื่อแก้ตัวเป็นวิธีที่ดีที่สุด ในภาษาฮินดี เรามีคำพูดที่ว่า “จะให้ข้าพเจ้าอยู่ในสภาพใด ข้าพเจ้าก็จะน้อมรับสภาพนั้นและมีความสุขให้ได้” ต่อมา กบิระ (Kabir) ก็ได้เขียนบทกวีกล่าวว่า “หากท่านจะให้ข้าพเจ้าขี่ช้างไป (ซึ่งหมายถึงการอยู่ในขบวนเสด็จของพระราชา) ข้าพเจ้าก็จะไป หากจะให้ข้าพเจ้าเดิน ข้าพเจ้าก็จะเดิน” – Jais, rakhahu tais, hi rahu – ดังนั้นจงอย่ามีปฏิกิริยาโต้ตอบ ประเด็นแรก ไม่ต้องมีคำอธิบาย ไม่ต้องโต้ตอบ
ประเด็นที่สอง คือเรื่องอาหาร อาหารเป็นสิ่งแรกที่มนุษย์แสวงหาในฐานะสัตว์ชนิดหนึ่ง เราต้องไม่ไปใส่ใจกับเรื่องอาหาร ไม่ว่าจะมีเกลือหรือไม่มีเกลือ ไม่ว่าจะรับประทานสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้ อย่าไปใส่ใจทั้งสิ้นกับอาหาร อันที่จริงพวกคุณไม่ควรจะจำได้ด้วยซ้ำว่าเมื่อเช้านี้คุณรับประทานอะไรไป แต่ในความเป็นจริงเราหมกหมุ่นกับความคิดที่ว่าพรุ่งนี้จะกินอะไร เรากินอาหารไม่ใช่เพื่อให้ร่างกายนี้อยู่ได้ แต่เพื่อความพึงพอใจและความสุขของลิ้น เมื่อใดก็ตามที่คุณเริ่มเข้าใจว่าความพอใจเป็นสัญญาณของสติในระดับที่หยาบ อันที่จริงความพึงพอใจในทุกรูปแบบ (any kind of pleasure) เป็นอารมณ์ที่หยาบอย่างยิ่ง เป็นอารมณ์ที่หยาบและตื้นเขินจริงๆ
แต่เวลาที่แม่บอกว่า “ไม่ต้องใส่ใจกับความพึงพอใจ” ไม่ได้หมายความว่าพวกคุณจะต้องกลายเป็นคนคร่ำเคร่งและเป็นคนที่อยู่ในอารมณ์ที่เหมือนกับมีใครซักคนในครอบครัวเสียชีวิต แต่พวกคุณจะต้องเป็นเหมือนพระศิวะที่ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง พระองค์ไปเข้าพิธีแต่งงานโดยอาศัยโคเป็นพาหนะ โดยนั่งอยู่บนหลังโคและเท้าทั้งสองข้างของพระองค์อยู่ในสภาพเช่นนี้ โคตัวนี้วิ่งเร็วมากและพระศิวะก็ต้องคอยรั้งโคไว้ไม่ให้วิ่งเร็วเกินไป นี่คือท่านกำลังจะไปเข้าพิธีแต่งงาน ส่วนคนที่ไปร่วมพิธีแต่งงานกับพระองค์ก็มีประเภทคนที่มีตาข้างเดียว ไม่มีจมูก คนที่มีท่าทางพิลึกพิลั่นทั้งหลาย ต่างก็มาร่วมพิธีอภิเษกของพระองค์ แม้กระทั่งพระชายาของพระองค์ก็รู้สึกอับอายในเรื่องไร้สาระต่างๆ ที่ผู้คนพากันกล่าวถึงพระศิวะ
แต่พระองค์ก็ไม่เคยใส่ใจในชื่อเสียงของพระองค์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกคุณจะต้องกลายเป็นฮิปปี้ เพราะปัญหาก็คือพอคุณเริ่มคิดแบบนี้คุณก็จะกลายเป็นฮิปปี้ (บุปผาชน) คนจำนวนมากเชื่อว่า หากเราพยายามใช้ชีวิตเหมือนพระศิวะ เราก็จะกลายเป็นพระศิวะ มีผู้คนจำนวนมากที่เชื่อเช่นนี้ อย่างเช่นเชื่อว่าหากเราเสพกัญชา เราก็จะกลายเป็นพระศิวะเพราะพระศิวะเคยเสพกัญชา ท่าน “บริโภค” เพราะว่าท่านต้องการกำจัดสิ่งเหล่านั้นให้หมดไปจากโลกนี้ สำหรับพระองค์แล้วจะเสวยกัญชาหรืออะไรก็ตามไม่กระทบกระเทือนพระองค์ พระองค์ไม่เคยเมา ไม่เคย พระองค์เสวยได้ทุกอย่าง หรือบางคนก็คิดว่าหากใช้ชีวิตเหมือนพระศิวะแบบไม่ยึดติดกับสิ่งใดก็จะต้องไม่สนใจกับภาพลักษณ์ภายนอก ภาพลักษณ์ภายนอกที่พระศิวะทรงต้องการคืออะไรก็ได้ที่เป็นความงามแบบพระองค์ พระองค์ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย
การยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดก็ตามถือเป็นความน่าเกลียดน่ากลัว ถือเป็นความไร้สาระอย่างสิ้นเชิง คุณจะแต่งตัวอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ แม้ว่าคุณจะอยู่ในชุดที่แสนธรรมดาที่สุด คุณก็สามารถเป็นคนที่สง่างามที่สุดได้ แต่หากคุณบอกว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็สามารถเดินไปเดินมาโดยมีผ้าผืนเดียวพันรอบกายก็ได้” อย่างนั้นก็ไม่ใช่เช่นกัน ความงามที่กล่าวถึงคือความงามที่เกิดขึ้นมาจากจิตวิญญาณของคุณ ซึ่งได้ให้พลังอำนาจให้คุณสามารถจะสวมใส่อะไรก็ได้ตามชอบ ความงามของคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับเสื้อผ้าที่คุณสวม คุณสวยงามอยู่เสมอไม่ว่าจะใส่เสื้อผ้าแบบไหน แต่คุณต่างหากที่บรรลุถึงขั้นนั้นแล้วหรือยัง เพราะมันเป็นขั้นที่จะบรรลุได้ก็ต่อเมื่อ จิตวิญญาณของคุณได้เข้าไปสถิตอยู่ในสมองแล้วเท่านั้น พวกคนที่เต็มไปด้วยอีโก้ก็จะไปถึงขั้นนี้ได้ยากกว่าคนอื่น และนี่คือเหตุผลที่คนประเภทนี้หาความสุขไม่ได้ แค่เจอเรื่องเล็กน้อยนิดเดียวคนพวกนี้ก็ไม่มีความสุขเสียแล้ว จิตวิญญาณซึ่งก็คือแหล่งกำเนิดของปีติสุขจะไม่แสดงตน ปีติสุขคือความงาม ปีติสุขในตัวของมันเองก็คือความงาม และสภาวะเช่นนี้แต่ละคนจะต้องก้าวไปให้ถึง
ความยึดมั่นถือมั่นและการยึดติดทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นได้หลายแบบ ถ้าไม่ระวังก็จะยึดติดกับครอบครัวของคุณ “เกิดอะไรขึ้นกับลูกของฉัน” “สามีของฉัน” “แม่ของฉัน” “ภรรยาของฉัน” โน่นนี่ที่ไร้สาระยิ่ง
ใครคือบิดาของคุณ? ใครคือมารดาของคุณ? ใครคือสามีและใครคือภรรยาของคุณ? สำหรับพระศิวะ พระองค์ไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ สำหรับพระองค์ ตัวของพระองค์และศักติ (พลัง) ของพระองค์ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ดังนั้นพระองค์จึงดำรงอยู่แบบบุคลิกภาพที่มีความเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีการแบ่งแยกเป็นสองแบบ (ทวิลักษณะ (duality)) เมื่อใดก็ตามที่มีการแบ่งแยกตัวเขาเราท่าน เมื่อนั้นคุณก็จะใช้คำพูดว่า “ภรรยาของฉัน” คุณจะพูดต่อไปเรื่อยๆ ว่า “จมูกของฉัน” “หูของฉัน” “มือของฉัน” ของฉัน ของฉัน ของฉัน ของฉันไปเรื่อยๆ เมื่อไรก็ตามที่คุณใช้คำว่า “ของฉัน” เมื่อนั้นก็จะเกิดการแบ่งแยกเป็นสองขึ้นทันที แต่ถ้าหากแม่พูดว่า “ฉัน จมูก” อย่างนี้จะไม่มีการแบ่งแยก พระศิวะก็คือศักติ ศักติก็คือพระศิวะ ไม่มีการแบ่งแยก แต่เพราะเรามีชีวิตอยู่บนความเชื่อเรื่องทวิลักษณะอย่างนี้ในทุกๆ วัน ดังนั้นเราจึงมีความยึดติด หากไม่มีการแบ่งแยกตัวเขาเราท่าน ความยึดติดในสิ่งต่างๆ จะมีได้อย่างไร หากคุณเป็นทั้งแสงสว่างและเป็นทั้งตะเกียง ก็จะไม่มีทวิลักษณะ หากคุณเป็นพระอาทิตย์และเป็นทั้งแสงอาทิตย์ด้วย หากคุณคือคำพูดและคือความหมายของคำพูดนั้นด้วย ทวิลักษณะจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
เมื่อใดก็ตามที่การแบ่งแยกเกิดขึ้น ทวิลักษณะก็เกิดขึ้นและเพราะการแบ่งแยกเช่นนี้เอง เราจึงเกิดความยึดมั่นถือมั่น คุณเข้าใจประเด็นนี้หรือไม่? เพราะยังมีการแบ่งแยก ยังมีระยะทางระหว่าง “ตัวคุณ” และ “ของคุณ” จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกคุณยังคงยึดติดกับสิ่งต่างๆ แต่ถ้าหาก “ตัวฉัน” ไม่มีผู้อื่น ถ้าทั้งจักรวาลนี้คือ “ตัวฉัน” มีคนอื่นได้อย่างไร ทั้งหมดเป็นเพียงคลื่นสมอง หรือคลื่นอีโก้ของสมอง จะมีใครอื่นได้อีก? ไม่มีใครเลย
สภาวะเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ “จิตวิญญาณ” ของคุณได้เข้ามาสู่สมองของคุณและคุณได้กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวิราฏแล้ว อย่างที่แม่เคยบอกคุณแล้วว่าวิราฏก็คือสมอง ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณลงมือกระทำ จะเป็นการแสดงออกถึงอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกเอ็นดู เอื้ออาทร หรืออะไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นการแสดงออกของจิตวิญญาณ เพราะสมองของคุณได้หมดสิ้นแล้วซึ่งการมีอัตลักษณ์ (identity) “สมองซึ่งเคยมีขีดจำกัด” ได้กลายเป็น “จิตวิญญาณอันไร้ขีดจำกัด” แม่ไม่สามารถจะหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบอธิบายเรื่องแบบนี้ให้คุณได้ ไม่รู้จะหาได้อย่างไรจริงๆ แต่สิ่งที่เราสามารถทำได้คือการเข้าใจมัน พยายามทำความเข้าใจประเด็นนี้ ถ้าหากหยดสีเล็กๆ นิดเดียว ถูกหยดลงไปในมหาสมุทร สีหยดนั้นก็จะสูญเสียความเป็นสีของตนสลายไปกับมหาสมุทรอย่างสิ้นเชิง ลองจินตนาการดูว่า ถ้าหากมหาสมุทรซึ่งมีสีอยู่ถูกเทลงไปในชั้นบรรยากาศ หรือเทไปในจุดเล็กๆ นิดเดียว หรือหยดลงในอะตอมหรือของเล็กๆ อะไรก็ได้ ของสิ่งนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีสีสันขึ้นมาทันที
“จิตวิญญาณ” ก็เปรียบเสมือนมหาสมุทรที่มีแสงสว่างในตนเอง เมื่อ “มหาสมุทรนี้” เริ่มไหลรินสู่ถ้วยแก้วใบเล็กๆ แห่งสมองของคุณ ตัวถ้วยแก้วนั้นก็จะสูญเสียความเป็นตัวตนลงและทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลายเป็นจิตวิญญาณ ทุกสิ่งทุกอย่าง! คุณสามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นจิตวิญญาณ ทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ คุณสัมผัสถูกสิ่งใด สิ่งนั้นก็กลายเป็น “จิตวิญญาณ” เมล็ดทรายกลายเป็นจิตวิญญาณ ผืนดินกลายเป็นจิตวิญญาณ บรรยากาศกลายเป็นจิตวิญญาณ เทพเทวดากลายเป็นจิตวิญญาณ ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นจิตวิญญาณ จิตวิญญาณคือมหาสมุทร ในขณะที่สมองของคุณมีขีดจำกัด ดังนั้น คุณจะต้องปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นจากสมอง ขีดจำกัดทั้งหมดของสมองจะต้องถูกทำลาย เพื่อที่มหาสมุทรจะได้เติมเต็มสีสันให้กับสมองทั้งหมด ชั้นบรรยากาศทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าคุณจะมองสิ่งใดสิ่งนั้นจะเต็มไปด้วยสีสัน สีสันของจิตวิญญาณ คือแสงสว่างของจิตวิญญาณและแสงนั้นจะกระทำ ทำงาน คิด ร่วมมือ และทำทุก ๆ อย่าง
ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ทำไมแม่จึงตัดสินใจที่จะทำศิวะตัตวะให้มาสถิตอยู่ที่สมอง กระบวนการในขั้นแรกก็คือการนำสมองของคุณมาสู่ศิวะตัตวะโดยการพูดกับสมองว่า “คุณสมอง คุณกำลังจะไปไหน?” คุณนำสติไปที่สิ่งนั้น คุณนำสติไปที่สิ่งที่สมองกำลังเกาะเกี่ยวยึดมั่นถือมั่น หลังจากนั้นการปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นก็จะกลายเป็นสมองของคุณ มันอยู่ที่สมองนั่นเอง ถอนความยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น
ขั้นต่อมาคือการนำแสงสว่างแห่งจิตวิญญาณไปเติมใส่ให้กับสมองที่ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นใดๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้อย่างอัตโนมัติ แต่ตราบใดก็ตามคุณยังมีสติที่มีขอบเขตจำกัดอยู่เช่นนี้ แสงสว่างแห่งจิตวิญญาณก็ยังเข้าไปในสมองไม่ได้ ดังนั้นพวกคุณจึงต้องตั้งใจบำเพ็ญเพียร ทุกๆ คนต้องทำ
อันที่จริง แม่อยู่กับคุณตลอดเวลา คุณไม่ต้องทำบูชาแม่ก็อยู่กับคุณ แต่สภาวะนั้น (ศิวะตัตวะ) พวกคุณต้องเข้าถึงให้ได้ และการจะเข้าถึงได้คุณต้องมีพิธีบูชา แม่หวังว่าพวกคุณจะสามารถกลายเป็นศิวะตัตวะได้ภายในภพชาตินี้ของแม่ แต่อย่ามองว่าแม่ขอให้คุณไปตกระกำลำบาก ไม่มีความทุกข์ยากลำบากเช่นนั้นในการก้าวสู่ความเป็นจิตวิญญาณแบบนี้ (แบบสหจะโยคะ) เมื่อใดที่คุณสามารถเข้าใจว่าสภาวะนี้คือสภาวะที่เต็มไปด้วยปีติสุข เมื่อนั้นก็คือเวลาที่คุณได้กลายเป็นนิรานันทะ (Nirananda) ซึ่งคือชื่อของปีติสุขในสหัสราระ ชื่อของความปีติสุขก็คือ “นิรานันท์” และพวกคุณก็ทราบแล้วว่าชื่อของแม่คือ “นิระ” เมื่อนั้นคุณจะกลายเป็นนิรานันท์ ดังนั้นการบูชาพระศิวะในวันนี้มีความหมายพิเศษยิ่ง แม่หวังว่าสิ่งใดก็ตามที่เราได้กระทำในขั้นหยาบ ที่เป็นการกระทำด้านนอก สามารถส่งผลในระดับที่ละเอียดยิ่งกว่านั้น แม่พยายามที่จะดันจิตวิญญาณของคุณให้ไปสถิตอยู่ในสมองของคุณ แต่แม่กลับพบว่าเป็นเรื่องลำบากบางครั้ง เพราะสติของคุณยังคงยึดเกาะกับสิ่งต่างๆ อยู่
พยายามปล่อยวางให้หมด ไม่ว่าเป็นโทสะ ตัณหา โลภะ ทุกๆ อย่าง ลดสิ่งเหล่านี้ลง อย่างเช่นเรื่องอาหาร อันนี้แม่บอกกับวอเรนว่า “ขอให้พวกเขารับประทานอาหารให้น้อยลง ไม่ให้กินเหมือนพวกตะกละตะกรามทั้งหลาย ถ้านานๆ ครั้งหรือวันที่มีงานฉลองใหญ่ๆ จะกินให้มากกว่านี้ก็ได้ แต่คุณจะกินมากขนาดนี้ทุกๆ ครั้งไม่ได้ มันไม่ใช่สัญญาณของการเป็นสหจะโยคี ขอให้พยายามควบคุมตนเอง พยายามควบคุมคำพูดของคุณ ดูสิว่าพวกคุณแสดงโทสะไปในคำพูด หรือแสดงความเมตตากรุณาไปในคำพูด หรือคุณยังเพียงแต่แสดงความเมตตากรุณาแบบเสแสร้ง พยายามควบคุมให้ได้ แม่รู้ว่าพวกคุณบางคนไม่ได้พยายามในเรื่องแบบนี้สักเท่าไร ไม่เป็นไร แม่จะพยายามบอกคุณ หลายครั้งหลายหน แม่จะพยายามช่วยคุณ แต่พวกคุณส่วนใหญ่ทำได้แล้ว ดังนั้นพวกคุณควรพยายามทำให้ได้
ในระดับที่ลึกลงไปกว่านั้นของสหจะโยคะ บางคนอาจจะยังไปไม่ถึงแต่พวกคุณส่วนใหญ่จะต้องพยายามไปให้ลึกมากขึ้นทุกๆ คน และการจะทำเช่นนี้ได้ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีการศึกษาหรือมีสถานะสูงส่ง ไม่เลย ไม่จำเป็น แต่คุณต้องเข้าสมาธิ ต้องอุทิศตน จึงจะก้าวไปได้ลึกมากขึ้น เพราะนี่คือรากฐานขั้นต้นที่จะต้องไปให้ถึง สำหรับบางคนก็ต้องไปให้ลึกยิ่งกว่านั้นเพื่อคนอื่นๆ จะได้ทำตาม
สำหรับพิธีบูชาในวันนี้ เราจะทำบูชาพระพิฆเนศสั้นๆ ให้ท่องบทอาถรรวศีรษะ (Atharva-Shirsha) ส่วนเรื่องการล้างเท้าแม่นั้นหรือเรื่องอื่นๆ นอกจากอาถรรวศีรษะนั้น อันที่จริงพระศิวะท่านมีความสะอาดบริสุทธิ์หมดจดทุกอย่างอยู่แล้ว ดังนั้นพวกคุณยังจะต้องมา “ล้าง” สิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์อยู่แล้วทำไม? บางคนอาจจะบอกว่า “คุณแม่ เวลาเราล้างเท้าของท่าน เราจะได้รับไวเบรชั่นของท่านจากน้ำ” ในสภาวะที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นใดๆ ย่อมไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำพิธีล้างเท้า เพราะในสภาวะนั้นคุณได้รับการชำระล้างแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากนั้นเราจะทำพิธีบูชาเทวี เพราะพระแม่เคารีนั้นเป็นเทวีผู้ทรงพรหมจรรย์ และเราจะบูชาพระองค์ด้วยการเอ่ย ๑๐๘ นามของเทวีแห่งพรหมจรรย์ หลังจากนั้นเราก็จะทำพิธีบูชาพระศิวะ
แม่ต้องขอโทษด้วยที่แม่ไม่สามารถบอกทุกสิ่งทุกอย่างแก่คุณในการพูดบรรยายที่มีเวลาสั้นๆ เช่นนี้ แต่การปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นจะต้องเริ่มแสดงตนในการตระหนักรู้ของพวกคุณ การปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น การปล่อยวางคืออะไร? ไม่ใช่อะไรเลย เพราะเมื่อคุณไม่ยึดมั่นถือมั่น คุณก็จะปล่อยวางโดยอัตโนมัติ เมื่อคุณยังยึดเกาะเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ คุณก็จะยังไม่ปล่อยวาง ก็เท่านั้นเอง อะไรคือการปล่อยวางให้แม่? แม่คือบุคคลที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด แม่ไม่เข้าใจเรื่องพวกนั้น แม่จะต้องการสิ่งใดจากพวกคุณ แม่ไม่ยึดมั่นในสิ่งใดทั้งปวง ไม่มีเลย
ดังนั้น ในวันนี้แม่จึงหวังให้พวกเราทุกคนสวดอ้อนวอนว่า “โอ้ พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์ประทานความเข้มแข็งและโปรดประทานแหล่งกำเนิดแห่งการดึงดูดทั้งปวงให้กับเราที่ทำให้เราสามารถปล่อยวางความยึดติดใดๆ ที่เรามีต่อความเพลิดเพลิน ความสุข อัตตาและทุกสิ่งที่เราคิดถึง และขอให้เราสามารถเข้าสู่ห้วงของ “ปีติสุขอันบริสุทธิ์” (pure joy) อันเกิดจาก “ศิวะตัตวะ” อย่างสมบูรณ์แบบ”
แม่หวังว่าแม่ได้สามารถอธิบายให้คุณเข้าใจได้ว่าทำไมแม่จึงได้มาที่นี่ในวันนี้ซึ่งเป็นวันที่ยิ่งใหญ่มาก พวกคุณที่ได้มาอยู่ที่นี่ต่างก็เป็นคนที่โชคดีเป็นพิเศษ พวกคุณควรระลึกว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงมีเมตตากรุณาต่อคุณอย่างยิ่ง พระองค์จึงได้เลือกให้พวกคุณได้มาอยู่ที่นี่ ได้มาฟังในสิ่งนี้ เมื่อใดที่คุณสามารถปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นได้ คุณจะเริ่มรู้สึกรับผิดชอบ อภิยุกต์ (Abhiyukta) จะไม่ทำให้อัตตาโป่งพองแต่คือความรับผิดชอบที่ทำงานด้วยตัวของมันเอง เป็นความรับผิดชอบที่แสดงตัวตนของตนเองออกมา
ขอพระเจ้าประทานพรแก่คุณ